Sunday, November 23, 2008

ทายนิสัยจากการอ่านหนังสือ

ทายนิสัยจากการอ่านหนังสือ




หนอนหนังสืออ่านทางนี้ เดลินิวส์ออนไลน์มีการทายนิสัยจากการอ่านหนังสือมาฝาก...

เปิดผ่านๆ อ่านคร่าวๆ

เป็นคนที่แสดงถึงอุปนิสัยที่เป็นคนวู่วามใจร้อน เวลาจะทำงานใดๆ มักจะไม่สนใจความละเอียดถี่ถ้วนนัก แต่จะสนใจเรื่องที่เป็นหลักใหญ่ๆ มากกว่า ไม่ชอบการวางแผนอะไรล่วงหน้า จะทำทุกอย่างเมื่ออยากทำ และทำตามใจตัวเอง จึงมักมีเรื่องให้ผิดหวังอยู่เรื่อยๆ จากการเป็นคนไม่รอบคอบของตัวเอง

เปิดอ่านแต่เรื่องที่สนใจ

ลักษณะนิสัยของคนที่ประเภทนี้ คือ เป็นคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมาก เอาแต่ใจตนเอง ไม่ค่อยนึกถึงจิตใจผู้อื่นสักเท่าไหร่ แต่มันทำไปด้วยความไม่รู้เรื่องมากกว่า แต่อีกด้านนั้นจะเป็นคนใจดี ใจกว้าง ชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่มักจะไม่มีคนกล้าเข้ามาทำความรู้จักด้วย เพราะเป็นคนไม่มีมนุษย์สัมพันธ์สักเท่าไหร่

อ่านทุกหน้าทุกเรื่อง

เป็นคนที่แสดงถึงความเป็นคนใจกว้าง สามารถยอมรับความคิดใหม่ๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นความคิดของคนเป็นเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ และยังเป็นคนที่ให้โอกาสคนอื่นสูง มีความสนใจใฝ่รู้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อสนใจเรื่องใด ก็จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรู้จักกับเรื่องนั้นอย่างจริงๆ จังๆ เป็นคนมีความคิดกว้างไกล มักได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง

ชอบออกเสียงเวลาอ่านหนังสือ

ลักษณะนิสัยของคนประเภทนี้ คือ เป็นคนที่จริงใจ ซื่อสัตย์ต่อทุกคน ไม่ใช่คนที่จะมีพิษกับใคร นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่มีใจคอเปิดเผยและยังเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้อีกด้วย รักสงบ ชอบชีวิตที่เรียบง่าย สมถะ ไม่ใช่คนที่มีภูมิรู้อะไรมากนัก แต่ก็มีความน่านับถืออยู่ในตัวเอง โปรดปรานการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และใฝ่ฝันถึงโลกในอุดมคติ

ชอบขีดเส้นข้อความในหนังสือ

บ่งบอกถึงอุปนิสัยว่า เป็นคนช่างจดจำ และยังค่อนข้างยึดมั่นถือมั่นอีกด้วย สิ่งไหนเป็นของตน ก็มักจะไม่ยอกให้ใครมาครอบครองง่ายๆ นอกจากนี้ ยังเป็นคนทำงานได้ดีและเก่ง เพราะเวลาทำอะไรก็มักจะทำจริงจังเสมอไม่ชอบเสียเวลากับเรื่องไร้สาระใดๆ เลย

พับขอบหนังสือ

เป็นคนที่แสดงถึงนิสัยที่เป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่จะเป็นคนที่เวลาทำอะไรแล้วจะหมกหม่น จริงจัง จนกระทั่งทำสำเร็จ เพียงแต่จะไม่ใส่ใจในคนรอบข้างนัก คล้ายกับความเห็นแก่ตัว แต่เพราะว่าเป็นคนพูดไม่เก่งมากกว่า เพราะถ้ามีคนมาขอความช่วยเหลือ ก็จะเอื้อเฟื้อดูแลเป็นอย่างดี





ขอขอบคุณข้อมูลจาก

'อูบันทู' กำลังจะโลดแล่นบนเน็ตบุ๊ค!

'อูบันทู' กำลังจะโลดแล่นบนเน็ตบุ๊ค!
เว็บไซต์ ข่าวบีบีซีรายงานว่าผู้ออกแบบชิพบนมือถือ "อาร์ม Arm" ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เปิด "อูบันทู" เป็นที่เรียบร้อย

ความร่วมมือดังกล่าวจะยังผลให้เกิดการพัฒนา ต่อยอดระบบปฏิบัติการ (โอเอส) อูบันทูเวอร์ชั่นที่สามารถใช้งานได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก หรือที่รู้จักกันดีในนาม "เน็ตบุ๊ค" ที่กำลังทำยอดขายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงอยู่ขณะนี้ โดยคาดการณ์ว่าโอเอสตัวใหม่จะเผยโฉมให้เห็นในเดือนเม.ย.ปีหน้า (2552)

นาย ร็อบ คูมบ์ส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดมือถือของอาร์ม คาดว่า อาจจะได้เห็นเน็ตบุ๊ครุ่นแรกที่รันด้วยโอเอสของอูบันทูในงาน "คอมพิวเทค" เดือนมิ.ย.ปีหน้า โดยจะพัฒนาบนพื้นฐานของสถาปัตยกรรม "อาร์ม7" โดยเฉพาะโปรเซสเซอร์เวอร์ชั่น "คอร์เทค เอ8" และ "เอ9

"สิ่งสำคัญคือ จะต้องทำให้เทคโนโลยีของอาร์มสามารถทำงานได้บนหน้าจอขนาดใหญ่กว่ามือถือ"

นาย คูมบ์ส ระบุว่า เน็ตบุ๊คที่รันด้วยโอเอสอูบันทูคาดว่าจะสามารถประมวลผลบนหน้าจอขนาดสูงสุด 10 นิ้ว ซึ่งจะสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหว เว็บ เบราเซอร์ และโปรแกรมโอเพ่น ออฟฟิศได้คุณภาพดี ทั้งยังสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้นานในระดับหนึ่ง

สำหรับ บริษัท "อาร์ม" นับเป็นผู้ออกแบบชิพที่บริษัทใหญ่ๆรายหลาย เช่น ทีไอ, ควอลคอมม์ และผู้ผลิตชิพรายอื่นๆนำไปผลิตเป็นโปรเซสเซอร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 70-80% ของตลาดมือถือทั่วโลก

นอกจากนี้ชิ พที่ออกแบบโดยอาร์ม ยังมีบทบาทในการผลักดันตลาดสมาร์ทโฟนของหลายๆค่าย เช่น "จี1" สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้โอเอสแอนดรอยด์ของกูเกิล

อย่างไรก็ ตามความร่วมมือระหว่างอาร์ม และอูบันทูในครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ค.2550 ซึ่งทั้งคู่ประกาศร่วมกันว่าจะพัฒนาโอเอสอูบันทูให้สามารถใช้งานได้กับโน้ต บุ๊คราคาต่ำโดยเฉพาะ


ข้อมูลโดย...

Friday, November 21, 2008

ยกย่อง ยอดรัก สลักใจ ปริยศิลปินที่รักของประชาชน

ยกย่อง ยอดรัก สลักใจ ปริยศิลปินที่รักของประชาชน

ยอดรัก สลักใจ

สวช.เตรียมนำโล่และใบประกาศเชิดชู เกียรติไปมอบให้แก่ทายาท เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล วันที่ 25 พฤศจิกายน เวลา 15.30 น. วันพระราชทานเพลิงศพ วัดหาดแตงโม อ.ตะพานหิน

นาย วีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) วันนี้ (20 พฤศจิกายน) ว่า ตามที่นางจารุลินทร์ มุสิกะพงษ์ อดีตข้าราชการกรมประชาสัมพันธ์ มีหนังสือเสนอแนะกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ขอให้ดำเนินการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินในอดีตที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว แต่มีผลงานปรากฏเด่นชัด เช่น พระเจนดุริยางค์ หลวงวิจิตรวาทการ พรานบูรพ์ เป็นต้น โดยยกย่องให้เป็นอัจฉริยศิลปิน ไม่ต้องมีค่าตอบแทนเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) พิจารณาแล้วเห็นสมควรให้ยกย่องศิลปินที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว แต่มีผลงานเด่นชัดให้ เป็น "บุรพศิลปิน" แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

1. ศิลปินที่เป็นปรมาจารย์ของประเทศ ยกย่องให้เป็น "ปรมศิลปิน"

2. ศิลปินที่เป็นที่รักยิ่งของประชาชน ยกย่องให้เป็น "ปริยศิลปิน"

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่า สวช.ได้พิจารณายกย่องให้ ส.ต.ต.นิพนธ์ ไพรวัลย์ หรือ "ยอดรัก สลักใจ" ที่ ถึงแก่กรรมไปแล้ว และเป็นศิลปินที่รักยิ่งของประชาชน ยกย่องให้เป็น "ปริยศิลปิน" ด้วย โดยได้มีการนำเสนอให้ประชุม กวช. รับทราบแล้ว เนื่องจากเห็นว่า "ยอดรัก สลักใจ" เป็นศิลปินที่มีผลงานขับร้องเพลงไว้มากมาย รวมทั้งมีผลงานการแสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ตั้งแต่ปี 2512 จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเอกลูกทุ่งตลอดกาล และได้รับรางวัลอีกมากมาย อาทิ รางวัลพระราชทานแผ่นเสียงทองคำ เพลงกำนันกำใน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะเป็นผู้ใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องและสร้างสรรค์ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็กและเยาวชน ได้รับรางวัลพระราชทานเพลงดีเด่น เนื่องในการจัดงานกึ่งศตวรรษลูกทุ่งไทย เพลงจักรยานคนจน และรางวัลเสาอากาศทองคำ เพลงทหารเรือมาแล้วจ้า จากสมเด็จพระเทพรัตนสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบและยอมรับในผลงานอย่างกว้างขวาง

" ยอดรัก สลักใจ ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่า เป็นศิลปินลูกทุ่งที่มีคุณค่า เป็นต้นแบบของวงการลูกทุ่งไทย เป็นขวัญใจของประชาชน โดย สวช.จะนำโล่และใบประกาศเชิดชูเกียรติไปมอบให้แก่ทายาท เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล ในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ เวลา 15.30 น. วันพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดหาดแตงโม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรต่อไป และจากที่เสียชีวิตไปแล้วยังเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนี้" ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว

ด้าน นายปรีชา กันธิยะ เลขาธิการ กวช. กล่าวว่า เมื่อครั้งที่ ยอดรัก สลักใจ มีชีวิตอยู่ ได้ทำคุณประโยชน์อย่างมากมาย ความอัจฉริยะของเขาเป็นที่ยอมรับของประชาชน แม้ก่อนเสียชีวิตมีประชาชนเฝ้าติดตามและให้กำลังใจจนวาระสุดท้ายของชีวิต นี่คือศิลปินที่ประชาชนยอมรับ และเป็นที่รักของทุกคน สวช.ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลเรื่องศิลปิน เห็นควรอย่างยิ่งที่จะประกาศเกียรติคุณ ยอดรัก สลักใจ ให้เป็นปริยศิลปิน

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เผยปี 2025 โลกไม่ต้องพึ่งน้ำมัน ดอลลาร์สำคัญน้อยลง

เผยปี 2025 โลกไม่ต้องพึ่งน้ำมัน ดอลลาร์สำคัญน้อยลง



ดอลลาร์



รายงานข่าวกรองฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งมีชื่อว่า "โกลบอล เทรนส์ 2025" ( Global Trends 2025) ซึ่งจัดพิมพ์ทุกๆ 4 ปีโดยสภาข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ เพื่อให้ผู้นำประเทศมองเห็นปัญหาและโอกาสต่างๆในช่วงประมาณ 2 ทศวรรษข้างหน้า ระบุว่า ในช่วงดังกล่าว โลกอาจยุติการพึ่งพิงต่อน้ำมันโดยสมบูรณ์แล้ว และแม้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังมีความสำคัญอยู่ แต่ก็จะลดความสำคัญลงจากอันดับหนึ่ง ขณะที่กลุ่มก่อการร้ายและรัฐอันธพาลต่างๆ จะเข้าถึงอาวุธนิวเคลียร์ได้มากขึ้น ทำให้โลกตึงเครียดและไม่มั่นคงเพราะเต็มไปด้วยสงคราม เนื่องจากมีแนวโน้มจะมีความขัดแย้งเพิ่มขึ้นบนโลกจากการแย่งชิงแหล่ง ทรัพยากรหายาก รวมทั้งอาหารและน้ำ

รายงานระบุว่า มีน้อยชาติที่จะสร้างอิทธิพลต่อโลกได้มากกว่าจีน ซึ่งจะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐฯ และเป็นหนึ่งในผู้นำทางทหาร กับจะเป็นผู้นำเข้าทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่สุดของโลก และอาจเป็นผู้สร้างมลภาวะมากยิ่งขึ้นด้วย รายงานคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะช้าลงหรือถึงกับลดลง รวมทั้งอาจมีการปฏิรูปเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับแรงกดดันทางสังคมที่ทวีเพิ่ม ขึ้น และว่าสถานภาพของจีนบนเวทีโลกส่วนใหญ่อยู่บนรากฐานที่โลกปฏิบัติต่อจีนใน ฐานะ"ประเทศแห่งอนาคต" (the country 0f the future)

ทางด้านอินเดียนั้น ผู้นำอินเดียจะพยายามให้ประเทศตนเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสหรัฐ กับจีนที่กำลังก้าวขึ้นมา ซึ่งรายงานคาดว่าอินเดียจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลาง , ประชากรวัยหนุ่มสาว ลดการพึ่งพาการเกษตร รวมทั้งเงินออมระดับสูงในท้องถิ่น และอัตราการลงทุน เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายงาน ระบุด้วยว่า ภายในปี 2025 ปัญหาโลกร้อนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจรัสเซีย ทำให้ฤดูเพาะปลูกยาวนานขึ้น และช่วยให้รัสเซียเข้าถึงบ่อน้ำมันทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ศักยภาพที่รัสเซียจะก้าวขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจของโลกอาจถูกบั่นทอนจากการ ขาดการลงทุนในภาคพลังงาน ปัญหาอาชญากรรม และการคอรัปชั่นของระบบราชการ

ที่มา:http://hilight.kapook.com/view/31150

ไขปม ทำไมเมเนเจอร์ มีเดียล้มละลาย

ไขปม ทำไม "แมเนเจอร์ มีเดีย" ล้มละลาย ไม่เกี่ยวต้าน "แม้ว" อะไรจะเกิดขึ้นกับหนี้ก้อนโต 4,726 ล้านบาท


การ มีหนี้สินล้นพ้นตัวของ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จึงไม่เกี่ยวกับการต่อสู้หรือต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตรงกันข้ามนายสนธิกลับนำบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย ไปสนิทสนมใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันถึงขั้นออกมาเขียนปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณหลายครั้ง หลายหน

หลังจากศาลล้มละลายกลาพิจารณาเห็นสมควร ให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)เจ้าของหนังสือพิมพ์ผุ้จัดการรายวัน ผู้จัดการรายสัปดาห์ และนิตยสารผู้จัดการรายเดือน ล้มละลาย จึงมีคำสั่งเมื่อบ่ายวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 ให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บริษัทดังกล่าวดังกล่าว

ผลที่ตามมาทันที นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการตัวจริง ไม่สามารถออกหนังสือพิมพ์ในชื่อ "ผู้จัดการ" รายวันได้ต่อไป เพราะ หัวหนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการ" เป็นทรัพย์สินของบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไปแล้ว

ดังนั้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 นายสนธิ จึงสั่งให้กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันออกหนังสือพิมพ์ในชื่อ "ผู้จัดการ 2551" เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่า นำทรัพย์สิน(ชื่อหนังสือพิมพ์)ของผู้อื่นมาใช้

อย่างไรก็ตาม การใช้ชื่อหนังสือพิมพ์ว่า "ผู้จัดการ 2551" อาจเป็นการลอกเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นได้

ประกอบกับกระบวนการจดแจ้งก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวันฉบับใหม่ ตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ยังไม่เสร็จสิ้น ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ทีมงานผู้จัดการจึงออกหนังสือพิมพ์ในชื่อ "สารจาก ASTV โดยทีมงานผู้จัดการ"

ขณะที่พนักงานของบริษัทว่า 500 ชีวิตนั้น ได้รับการชี้แจงจากฝ่ายบริหาร บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จะต้องเลิกจ้าง(เนื่องจากถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้ม ละลาย) แต่จะให้ไปสมัครงานใหม่กับบริษัท เอเอสทีวี จำกัดของนายสนิธฺ โดยพนักงานจะทำงานในตำแหน่งเดิมและเงินเดิมเท่าเดิมทุกอย่าง

อย่างไรก็ตามสำหรับคนทั่วไปที่มิได้อยู่ในวงการธุรกิจแล้ว อาจสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไม บริษัทบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จึงล้มละลาย

แต่ สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวสารทางด้านธุรกิจและผู้คนในแวดวงสื่อสารมวลชนรู้ดี กว่า บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ประสบปัญหาทางด้านธุรกิจมาตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 และมีหนี้สินหลายพันล้านบาทหรือที่เรียกกันว่า "หนี้สินล้นพ้นตัว" จนต้องการสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตั้งแต่ปี 2541

การมีหนี้สินล้นพ้นตัวของ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จึงไม่เกี่ยวกับการต่อสู้หรือต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ตรงกันข้าม ในยุคพ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจตั้งแต่ต้นปี 2544 นายสนธิ ลิ้มทองกุล กลับนำบริษัทในเครือ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปไปสนิทสนมใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันถึงขั้นออกมาเขียนปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณหลายครั้ง หลายหน โดยเฉพาะในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเผชิญกับคดีซุกหุ้นภาคแรกจนศาลรัฐธรรมนูญให้ พ.ต.ท.ทักษิณรอดคดีหวุดหวิดด้วยเสียง 8 ต่อ 7

ในช่วงดังกล่าวบริษัทในเครือแมเนเจอร์ฯเฟืองฟูอย่างมาก มีเม็ดเงินโฆษณาจากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นจำนวนมาก

เมื่อ มี "หนี้สินล้นพ้นตัว" การที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้ก็คือการนำบริษัทเข้าสู้กระบวนการฟื้นฟู กิจการซึ่งมีเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ

1. ฟื้นฟูกิจการของบริษัทให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติที่เรียกกันว่า การออกจากแผนฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ

2. สามารถหาเงินมาชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นขอชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการดังกล่าว

อย่างไรก็ตามในกรณีของบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป เมื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแล้ว แม้จะมีการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการหลายครั้ง แต่ไม่สามารถทำสำเร็จได้ตามแผนทั้งๆที่เวลาผ่านมาเกือบ 10 ปี ยังคงอยู่ในขั้นตอนที่ 1 ของกระบวนการฟื้นฟูกิจการเท่านั้น เมื่อศาลพิจารณาจากรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และพยานหลักฐานต่างๆ จึงเห็นควรให้บริษัทล้มละลาย จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าว

การมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็เพื่อมิให้ทรัพย์สินของบริษัทบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปที่เหลืออยู่เสื่อมค่าลงไปอีก ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีโดยกฎหมายล้มละลายและนำทรัพย์สินที่ เหลืออยู่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดเพื่อนำมาเฉลี่ยคืนให้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นขอ ชำระหนี้ไว้แล้วตั้งแต่การยื่นขอฟื้นฟูกิจการและเจ้าหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่าง การฟื้นฟูกิจการซึ่งเจ้าหนี้เหล่านั้นต้องมายื่นขอชำระหนี้ใหม่ในคดีล้ม ละลายภายในเวลา 2 เดือนนับแต่วันประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสำหรับเจ้าหนี้ภายใน ประเทศไทย และ 4 เดือนสำหรับลูกหนี้นอกประเทศไทย

ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่เท่าไหร่ แต่จากข้อมูลการยื่นขอชำระหนี้ไว้ตั้งแต่การยื่นขอฟื้นฟูกิจการแล้ว ปรากฏว่า มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ 359 ราย เป็นจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ 4,726,097,449.67 บาท

แต่เมื่อนำทรัพย์สินที่เหลืออยู่ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ ฯลฯมาขายทอดตลาดแล้ว จะเหลือทรัพย์สินเฉลี่ยคืนให้แก่เจ้าหนี้ตามสัดส่วนคนละกี่บาท

สำหรับพนักงานบริษัทนั้นมีโอกาสที่จะได้รับการชำระหนี้ในอันดับต้นๆพร้อมกับ ค่าภาษีที่ต้องชำระภายใน 6 เดือน หลังจากชำระค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ค่าธรรมเนียมของเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์และค่าทนาย ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 257 บัญญัติว่า

" บุริมสิทธิในเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ ซึ่งเป็นนายจ้างนั้น ให้ใช้สำหรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าชดเชย ค่าชดเชยพิเศษ และเงินอื่นใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้ นับถอยหลังขึ้นไปสี่เดือน แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาทต่อลูกจ้างคนหนึ่ง"

เพื่อ ให้เห็นภาพว่า บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป มาถึงจุดจบ จึงขอนำขั้นตอนกระบวนการฟื้นฟูกิจการมานำเสนอดังนี้ ผู้ร้องขอต่อศาลให้เข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการประกอบด้วย

ธนาคาร ทหารไทย จำกัด(มหาชน) ที่ 1

ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 2

บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ลูกหนี้ ที่ 3

ผู้บริหารแผน น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์

ทุนทรัพย์ 2,737,587,388.35 บาท

วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอ 9 ตุลาคม 2541

ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ 6 พฤศจิกายน 2541

มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ 359 ราย เป็นจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระหนี้ 4,726,097,449.67 บาท

ที่ประชุมมีมติพิเศษยอมรับแผน และมีมติตั้งคณะกรรมการเจ้าหนี้รวม 7 รายคือ

1. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รายที่ 125

2. นายสุวิทย์ จินดาสงวน รายที่ 200

3. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รายที่ 216

4. บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชยการ) รายที่ 262

5. บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด รายที่ 61

6. ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) รายที่ 44

7. บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอสจีสินเอเชีย จำกัด รายที่ 208

วัน ที่ 3 สิงหาคม 2542 ศาลแพ่งมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้ม ละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 90/58 วรรค 1 โดยมี นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้บริหารแผน

ศาลมีคำสั่งเมื่อ วันที่ 29 พฤษภาคม 2543 ตั้ง น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เป็นผู้บริหารแผนคนใหม่

กำหนดนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 29 ธันวาคม 2546 เวลา 9.30 น. ห้องประชุม 1105 ชั้น 11 อาคารกรุงเทพประกันภัย

กำหนดนัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 9.30 น. ห้องประชุม 1105 ชั้น 11 อาคารกรุงเทพประกันภัย

ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 23 พฤษภาคม 2547

นัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขแผน วันที่ 13 มีนาคม 2550 เวลา 09.30 น. ห้องประชุม 1105

คำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผน วันที่ 28 มิถุนายน 2550

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแผนซึ่งก็คือมือขวาของนายสนธิไม่สามารถบริหารแผนให้เป็นไปตามเป้า หมายได้ จึงยื่นคำร้องต่อศาลขอขยายระยะเวลาซึ่งศาลนัดพิจารณาไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2551 แต่มีการเลื่อนพิจารณามาวันที่ 18 พฤศจิกายน จนศาลมีคำสั่งให้ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปล้มละลายในที่สุด



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Thursday, November 20, 2008

ใช้งานและดูแลรักษาแบตฯ Lithium อย่างถูกต้อง (แบตฯ Notebook,กล้องดิจิตอล,มือถือ ฯลฯ)

ใช้งานและดูแลรักษาแบตฯ Lithium อย่างถูกต้อง (แบตฯ Notebook,กล้องดิจิตอล,มือถือ ฯลฯ)
ุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์สำหรับพกพา เช่น Notebook, กล้องดิจิตอล และมือถือ ในปัจจุบันจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ lithium แทบทั้งสิ้น ซึ่งแบตเตอรี่แบบ lithium นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา และไม่ต้องดูแลรักษามากนัก ซึ่งจะต่างจากแบตเตอรี่แบบชาร์ตไฟใหม่ได้ในสมัยก่อนๆอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านวิธีใช้งาน และการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง



แบตเตอรี่แบบ lithium ที่พบเห็นบ่อยๆ ในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบบ คือ

1. lithium-ion หรือตัวย่อว่า Li-ion เป็นแบตเตอรี่ที่พบเห็นมากที่สุด ถือว่าเป็นแบตเตอรี่มาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในทุกวันนี้

2. lithium-ion polymer หรือตัวย่อว่า Li-Poly เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Li-ion โดยจะมีความจุไฟฟ้ามากว่า Li-ion ถึง 20% ในขนาดแบตเตอรี่ที่เท่ากัน แบตเตอรี่แบบนี้มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีข้อจำกัดเรื่องรูปร่างของเบตเตอรี่น้อยมาก จึงทำให้สามารถสร้างแบตเตอรี่แบบ Li-Poly ให้มีขนาดเล็กและบางได้ รวมทั้งสามารถสร้างให้มีรูปทรงแปลกๆ ที่ไม่ใช่ทรงกระบอกหรือทรงสี่เหลื่ยมเหมือนแบตเตอรี่แบบเดิมๆได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตของ Li-Poly ยังจัดว่ามีต้นทุนสูง ดังนั้นความนิยมจึงยังมีไม่มากเท่าแบตเตอรี่แบบ Li-ion

ทีนี้ลองพลิกดูแบตเตอรี่ของคุณๆ ดูว่าใช่แบตเตอรี่แบบ lithium กันรึเปล่า ถ้าใช่แล้ว เรามาไขข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแบตเตอรี่ lithium กันเลยดีกว่าครับ

1. ตารางเจ้าปัญหา ความจริงที่ถูกบิดเบือน



หลายๆคนอาจจะเคยเห็นตารางอย่างในรูปข้างบนมาแล้วใช่ไหมครับ ต้นฉบับที่แท้จริงของตารางข้างบนมาจากเว็บ http://www.batteryuniversity.com/parttwo-34.htm ครับ ซึ่งในเว็บ และบนหัวตารางก็ระบุไว้อย่างชัดเจนมันคือตาราง charge/discharge rateซึ่งคำว่า charge rate ไม่ได้หมายความว่าใช้แบตไปหมดไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วค่อยชาร์ตไฟกลับคืนเป็น 100% แต่ charge rate หมายถึงอัตราของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ชาร์ตแบตเตอรี่ในช่วงเวลา เช่น

ถ้าเรามีแบตเตอรี่ขนาด 10 Ah(ampere-hour) แต่เราชาร์ตไฟด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 2 แอมแปร์(ampare) ก็จะต้องใช้เวลาชาร์ตไฟเข้าไปในแบตเตอรี่ที่ว่างเปล่าจนไฟเต็มด้วยเวลา 5 ชั่วโมง อัตราการชาร์ตระดับนี้เราเรียกว่าอัตรา C/5 หรือ 0.2C ส่วนอัตรา 1C ก็คือ ถ้าชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah ก็ต้องใช้แท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 10 แอมแปร์ก็จะชาร์ดไฟได้เสร็จใน 1 ชั่วโมง เช่นเดียวกับอัตรา 2C ก็คือ ชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah ด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 20 แอมแปร์ก็จะชาร์ตไฟได้เสร็จใน 30 นาที

และคำว่า discharge rate ก็จะคล้ายๆกับ charge rate ครับแต่เป็นในทางกลับกันคือเป็นอัตราการใช้ไฟ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตารางข้างต้นแสดงถึงว่าถ้าเราชาร์ตไฟด้วยกระแสไฟสูงในเวลาสั้นหรือใช้ไฟจากแบตในปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้น จะทำให้แบตเตอรี่แบบ lithium เสื่อมเร็วขึ้น (จำนวน cycle ลดลง)

ส่วนกรณีที่ยกมาอ้างว่า การชาร์ตไฟบ่อยๆหรือการใช้ไฟจากแบตเตอรี่เพียงเล็กน้อยแล้วรีบชาร์ตกลับให้เต็ม 100% เป็นการช่วยเพิ่มจำนวน cycle นั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

เพราะการเพิ่มลดของจำนวน cycle ไม่เกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานว่าใช้มากใช้น้อยแล้วค่อยชาร์ตไฟ แต่จำนวน cycle เกี่ยวข้องโดยตรงกับรูปเครื่องชาร์ตว่าชาร์ตเร็วหรือช้า ถ้ายิ่งชาร์ตเร็วแบตฯก็จะเสี่ยมเร็ว ถ้าเครื่องชาร์ตค่อยๆชาร์ตแบตก็จะเสื่อมช้า

2. นับจำนวน Cycle อย่างไร
จำนวน Cycle คือตัวเลขที่บ่งบอกอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ว่าแบตฯจะเริ่มเสื่อมเมื่อผ่านการชาร์ตไปนานแค่ไหน ถ้าแปลตรงๆตัวคำว่า cycle ก็คือรอบ คำว่ารอบไม่ได้เท่ากับคำว่าครั้ง ดังนั้นการชาร์ต 1 ครั้งจึงไม่เท่ากับ 1 cycle ซะทีเดียว

จำนวน 1 Cycle จะวัดจากปริมาณการชาร์ตไฟที่รวมๆแล้ว เท่ากับปริมาณการชาร์ตไฟจากแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ(0%) จนแบตเตอรี่มีไฟเต็ม(100%) 1 ครั้ง

เช่น ถ้าเราชาร์ตครั้งแรกจากแบตเตอรี่ 50%=>100% การชาร์ตครั้งนี้ก็จะนับเท่ากับ 0.5 cycle

3. ชาร์ตอย่างไรถึงจะดี
หลายคนคงเคยได้ยินว่าต้องชาร์ตแบตเตอรี่ครั้งแรกเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงแล้วจึงจะเริ่มใช้งานได้ หรือว่าต้องหมั่นชาร์ตบ่อยๆ หรือไม่ก็ใช้ให้ไฟหมดก่อนแล้วค่อยชาร์ต ซึ่งข้อความทั้งหมดนี้ก็มีข้อจริงและเท็จปนๆกัน อันที่จริงแล้วสำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium (ย้ำว่าแบบ lithium เท่านั้น) จะชาร์ตอย่างไรก็ได้ไม่มีผลต่ออายุการใช้งานครับ

ข้อมูลตรงนี้เป็นที่ยืนยันจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ(ทั้งที่อ้างอิงไว้ข้างล่าง และที่อื่นๆ) มีใจความตรงกันว่า การชาร์ตมาชาร์ตน้อย ชาร์ตนาน ชาร์ตถี่ ชาร์ตบ่อย มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่น้อยมาก ส่วนข้อความข้างต้นที่ยกมานั้นเป็นคำแนะนำสำหรับแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆที่ไม่ใช่ lithium ครับ

การที่แบตเตอรี่แบบ lithium จะเสื่อมจากการใช้งานนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 เงื่อนไข คือ
1. เมื่อใช้งานจนถึงจำนวน Cycle ที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมเองตามปกติ
2. เมื่อถึงเวลาที่แบตเตอรี่จะเสื่อมมันก็จะเรี่มเสื่อมเอง โดยเวลาที่ว่าเป็นเวลาที่นับตั้งแต่การผลิต ไม่ใช่เวลาในการใช้งาน
3. การชาร์ตไฟของตัวชาร์ต (ดังที่กล่าวไปแล้วในข้อ 1)
4. อุณหภูมิของแบตเตอรี่ ถ้าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงก็จะส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติได้

4. ได้ยินว่าชาร์ตไฟ 40% แบตจะอยู่ได้นานกว่าจรึงรึเปล่า
สำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium ถ้าชาร์ตไฟที่ 40% แล้วเก็บเอาไว้โดยไม่ใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป ตัวแบตจะเสื่อมน้อยกว่าการชาร์ตไฟที่ 100% แล้วเก็บไว้นาน 1 ปีขึ้นไป แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ไม่ได้เก็บไว้นานเกิน 1 ปี หรือแบตเตอรี่ที่ใช้งานตามปกติ(ไม่ได้เก็บเข้ากรุ) อัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ไม่ว่าจะมีไฟที่ 40% หรือ 100% นั้นแทบจะไม่ต่างกัน

สรุปว่าข้อความข้างต้นเป็นจริงเฉพาะแบตเตอรี่ lithium ที่เก็บไว้นานๆโดยไม่ใช้งานครับ

5. แล้วเวลาใช้งาน Notebook เมื่อเสียบปลั๊กแล้วควรจะถอดแบตหรือไม่
คำตอบนี้ตอบได้ทั้งควร และไม่ควรครับ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานจะเลือกแบบไหน

1. เสียบปลั๊กแล้วแต่ไม่ถอดแบตฯ
ข้อดี
- หากระบบไฟฟ้ามีปัญหา ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงาน และงานที่ทำในเครื่อง Notebook เปรียบเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ USP อยู่
- ขัวแบตเตอรี่จะไม่เกิดปัญหา ฝุ่นผงหรือความชื้นไปเกาะ
- มีความสะดวก สบายในการใช้งาน ไม่ต้องถอดๆใส่ๆ
ข้อเสีย
- แบตเตอรี่จะได้รับความร้อนจากตัวเครื่อง ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติเล็กน้อย

2. เสียบปลั๊กแล้วถอดแบตฯ
ข้อดี
- แบตเตอรี่จะปลอดภัยต่อความร้อนที่มาจากตัวเครื่อง notebook
ข้อเสีย
- ขั้วแบตเตอรี่อาจเกิดฝุ่นผงหรือมีความขึ้นไปเกาะทำให้เกิดคราบออกไซด์ อาจส่งผลให้เกิดอาการเสียบแบตเตอรี่แล้วไฟไม่เข้าเครื่องได้
- หากระบบไฟมีปัญหา เครื่อง notebook จะดับ ทำให้งานในเครื่องเสียหาย และอาจทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครื่องเสียหายได้

โดยส่วนตัวผมจะแนะนำให้เสียบแบตฯทิ้งเอาไว้ครับ เพราะข้อดีมีเยอะกว่าข้อเสีย และที่สำคัญคือ ถึงแม้การเสียบแบตฯไว้อาจจะทำให้แบตฯเสื่อมจากความร้อนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Notebook ทุกวันนี้ออกแบบมาให้ตรงส่วนที่เป็นแบตเตอรี่เป็นฉนวนความร้อนครับ ดังนั้นความร้อนก็จะส่งไปถึงแบตเตอรี่ได้ไม่มากนัก เรียกง่ายๆว่าถ้าเครื่องมันร้อนมาก คนใช้ Notebook จะร้อนมือก่อนที่แบตจะร้อนเสียอีกด้วยซ้ำครับ

สรุปสุดท้ายด้วยคำแนะนำสั้นๆ สำหรับแบตเตอรี่ lithium ดังนี้ครับ
1. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จดหมดแล้วค่อยชาร์ดครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูง (ใช้ไฟเยอะในเวลาอันสั้น) ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เช่น กรณีที่ต้องการใช้งานเครื่องหนักๆ(กินแบตฯเยอะๆ) ก็ควรใช้แค่ช่วงเวลาไม่นาน และไม่ควรใช้จนแบตหมดครับ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆให้หาโอกาสชาร์ตไฟเป็นระยะๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูงได้

และที่สำคัญที่สุดคือการชาร์ตบ่อยๆ จะช่วยป้องกันการลืมชาร์ตไฟ ซึ่งถ้าหากปล่อยให้แบต lithium ไฟหมดเป็นเวลานานแบบจะเสีย ไม่สามารถชาร์ตไฟได้อีก

2. ระลึกไว้เสมอว่าแบตฯแบบ lithium ความร้อนมีผลต่อการเสื่อมมากกว่ารูปแบบการชาร์ตไฟครับ ดังนั้นพยายามดูแลอย่าให้แบตฯร้อน จะได้ผลดีกว่ามัวกังวลเรื่องชาร์ดบ่อย ชาร์ตมาก ชาร์ตน้อย

3. เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่เย็นๆ ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บ Notebook ไว้ในรถที่จอดตากแดด ก็ควรถอดแบตเตอรี่แยกติดตัวออกมาครับ จะช่วยให้แบตฯเสื่อมช้าลง

4. ถ้าจำเป็นจะต้องเป็บแบตไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ได้ใช้งาน ให้ชาร์ตไฟไว้ที่ประมาณ 40% ของความจุ แล้วเก็บไว้ในที่เย็นๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้

5. ไม่ควรซื้อแบตเตอร์แบบ lithium มาเก็บไว้เผื่อใช้งานครับ เพราะแบตแบบ lithium มีอายุการเสื่อมสภาพนับจากวันผลิต(ไม่ใช่วันที่ใช้นะครับ) ดังนั้นถ้าเก็บไว้นานโดยไม่ใช่มันก็จะเสื่อมไปเองได้ครับ และเช่นเดียวกันกับการเลือกซื้อแบตแบบ lithium ไม่ควรซื้อแบตฯแบบเก่าเก็บครับ เพราะซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานแบตฯมันจะเสื่อมตามอายุของมันเองครับ


สนับสนุนข้อมูลโดย...


Monday, November 17, 2008

คู่ฮอต เคน-แอฟ เจอกันครั้งแรก ถ่ายทอดรักโศก ซึ้งใน ใจร้าว

คู่ฮอต เคน-แอฟ เจอกันครั้งแรก ถ่ายทอดรักโศก ซึ้งใน ใจร้าว

เป็นละครที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งของช่อง 3 ในโปรแกรมส่งท้ายปี นอกจากเนื้อเรื่องจะดำเนินไปด้วยความรักผสมแรงแค้น แต่ก็ประทับใจ ที่สำคัญได้ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ พระเอกที่เป็นเบอร์หนึ่งอยู่เวลานี้ คู่กับนางเอกที่ดังที่สุดอย่าง แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ

คู่ฮอต เคน-แอฟ
คู่ฮอต เคน-แอฟ
เรื่องย่อ...กรวิก ซุปเปอร์สตาร์หนุ่มผู้ แข็งกร้าว ได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยม เลยถูกจับคู่กับ เมลานี นักแสดงสาวดาวรุ่ง แต่ในวันประกาศรางวัล กลับมีหญิงสาวนิรนามมาแสดงความยินดีกับ กรวิก แถมยังเป็นลมล้มลงจน กรวิก ต้องอุ้มพาเธอหายตัวไป เธอคือ น้องเอย หญิงสาวคนเดียวที่เขาเคยรักมาก แต่จู่ๆเธอก็ทิ้งเขาไปอย่างไร้เยื่อใย ไม่แม้แต่บอกลาซักคำ

น้องเอย ฟื้นขึ้นมาพร้อมกับแววตาของความรัก แต่ กรวิก ยังคาใจว่าตลอดแปดปี เอย ทิ้ง พี่วิก ไปเพราะอะไร กรวิก ระบายความรัก ความเสียใจ ออกมาเป็นความแค้น เขาไล่เธออย่างไร้เยื่อใย และ เอย ก้มหน้ายอมรับกับความผิดด้วยการยอมเป็นผู้จัดการส่วนตัว รับใช้ กรวิก 1 ปีเต็ม โดยไม่ปริปากบอกความจริงว่าที่เธอหนีไปเพราะป่วยเป็นโรคร้าย โดยมี ลักษณ์ นายแพทย์หนุ่มที่เดินทางกลับมาพร้อมกัน คอยดูแลเธอมาตลอด แต่ก็ไม่รู้ด้วยพรหมที่แกล้งลิขิต ลักษณ์ มักบังเอิญต้องได้เจอะเจอ และปะทะฝีปากกับ เมลานี ครั้งแล้วครั้งเล่า ในความเกลียดขี้หน้า แต่ก็มีความสุขใจบางอย่างที่ เมลานี ก็หาคำตอบไม่ได้

กรวิก ทำทุกวิธีเพื่อทรมานทั้งร่างกายและจิตใจของ น้องเอย ทั้งๆที่ใจจริงอยากสวมกอดเธอด้วยความรัก ยิ่งเห็น หมอลักษณ์ คอยเอาใจใส่ น้องเอย มากเท่าไหร่ กรวิก ก็ยิ่งสรรหาทุกวิถีทางถึงขนาดแกล้งทำเป็นรัก เมลานี จนวันหนึ่ง เอย ป่วยหนักจากการกลั่นแกล้งของ กรวิก จนเข้า รพ.พอรู้ข่าวถึงอาการป่วย กรวิก ก็เที่ยวออกตามหาตาม รพ.ทุกแห่งด้วยใจรุ่มร้อน แต่ก็ไม่เจอ แต่ในความชุลมุนนั้น กรวิก ได้ยิน ประกาศขอบริจาคโลหิตให้ผู้ป่วยฉุกเฉิน กรวิก บริจาคโลหิตโดยไม่รู้ว่าผู้ป่วยที่รับเลือดของเขาคือ น้องเอย ซึ่งพ้นขีดอันตรายเพราะเลือดของ พี่วิก หญิงสาวกลับมาทำงานอีกครั้ง กรวิก กลับยิ่งระบายความเจ็บช้ำใส่ น้องเอย อาการป่วยของ เอย ทรุดลงเรื่อยๆจน หมอลักษณ์ เป็นห่วงจึงขอร้องให้กลับไปต่างประเทศกับเขา

เอย เริ่มคิดว่า กรวิก เกลียดเธอมากจริงๆ และเห็นว่าชายหนุ่มก็มี เมลานี คอยดูแลอยู่แล้ว จึงวางแผนพา กรวิก ไปทานข้าวมื้อพิเศษ ย้อนเรื่องราวประทับใจของเขาและเธอให้ได้มากที่สุดก่อนจะจากเขาไป ด้วยความรัก ความผูกพัน ความทรงจำที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้ กรวิก ตัดสินใจว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาจะใช้เวลาทุกนาทีดีกับเธอให้มากที่สุด แต่มันก็สายเกินไป เมื่อวันรุ่งขึ้น กรวิก รู้ว่า เอย ตัดสินใจบินกลับอเมริกา เขาพุ่งตรงไปที่สนามบินและวิ่งวนตามหา น้องเอย จนแทบจะหมดความหวังอยู่แล้ว แต่จู่ๆ เอย ก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา กรวิก ไม่ยอมทิ้งโอกาสครั้งนี้พา น้องเอย หนีขึ้นรถไป ปล่อยให้ ลักษณ์ มึนจับต้นชนปลายไม่ถูก

ลักษณ์ กับ เมลานี พากันออกตามหา กรวิก และ น้องเอย ระหว่างนั้น สองคนกลับยิ่งรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ กรวิก ตัดสินใจพา เอย ไปที่เกาะส่วนตัว และที่นั่นทำให้ เอย รู้ว่าตลอดเวลาที่เธอจากไป เธอยังคงอยู่ในหัวใจของเขา...หัวใจรักสองดวง จะนำพาให้เรื่องราวความรักของ กรวิก และ น้องเอย กลับตาลปัตรลงเอยด้วยหัวใจที่ร้าวรานได้อย่างไร ติดตามชมกันเอาเอง

สำหรับ เคน-ธีรเดช นั้น เมื่อปีที่แล้วกวาด รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมมาแล้วทุกสถาบัน ดังนั้น การันตีเรื่องฝีมือได้ ส่วนในเรื่องนี้รับบท “กรวิก” ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดัง แต่เบื้องหลังคาแรกเตอร์ที่เย็นชานั้น คือหัวใจที่เจ็บช้ำจากการถูกหญิงสาวที่รักทอดทิ้ง นับจากวันนั้นเขาจึงไม่มีความรักให้ใครอีก บทนี้เคนจะได้ถ่ายทอดอารมณ์รักที่ถนัดอีกครั้ง ขอเตือนให้ทุกคนเตรียมผ้าเช็ดหน้าให้พร้อม

ส่วน แอฟ-ทักษอร นั้น ณ เวลานี้ต้องบอกว่าเป็นนางเอกที่ดังที่สุดของช่อง 3 เช่นกัน เพราะมีงานละครต่อเนื่อง แถมนอกจอก็เป็นนางเอกที่ไร้ข่าวคาวให้เสื่อมเสีย ซึ่ง เคน กับ แอฟ ถือเป็นการร่วมงานกันเป็นครั้งแรก โดยในเรื่อง แอฟ รับบท “น้องเอย” สาวน้อยที่อ่อนแอบอบบาง แต่หัวใจกลับเข้มแข็งเสียสละความสุขส่วนตัวได้เพื่อคนที่ตนรัก จนผู้ชายทุกคนที่ได้ดูเรื่องนี้ต้องรักและสงสารเธอ

ร่วมด้วย วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์, สุนิสา เจทท์, สุพจน์ จันทร์เจริญ, เมย์ เฟื่องอารมย์, มอริส เค, ดารณีนุช โพธิปิติ ฯลฯ

ติดตามชมละคร “ใจร้าว” ได้ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ทางช่อง 3 และหาอ่านได้ใน นสพ. ไทยรัฐ ทุกวัน.

สิเรียม ปล่อยโฮรับเลิก ราจิต คิดต่าง ไร้มือที่ 3

สิเรียม ปล่อยโฮรับเลิก ราจิต คิดต่าง ไร้มือที่ 3

แอน - สิเรียม ปล่อยโฮ ยอมรับเลิก ราจิต สามีหนุ่มแล้ว 1 เดือน หลังแต่งงานได้ 3 ปี อ้างมีชีวิตที่แตกต่างกัน ย้ำไม่มีมือที่ 3 เข็ดชีวิตรักจะไม่ขอแต่งงานอีก

แอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์
แอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์


หลังจากความสัมพันธ์ระหว่าง แอน - สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ กับสามีติสต์ ราจิต แสงชูโต คลุมเครือมานาน ในที่สุดก็มาถึงทางตันแล้ว หลังจากที่ฝ่ายหญิงออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า เลิกกับอดีตสามีมาได้ 1 เดือนแล้ว อ้างเพราะความคิดที่แตกต่าง โดยจากกันด้วยดีไม่มีการหย่า เพราะไม่ได้จดทะเบียนกันตั้งแต่แรกแล้ว ทุกวันนี้หอบผ้ามาอยู่บ้านแม่กับลูกสาว เผย น้องนนนี่ บอกเรื่องรักร้าวคราวนี้ให้ บิลลี่ สามีคนแรกรับรู้แล้ว ลั่นพอกันทีเรื่องชีวิตแต่งงาน

หลังแต่งงานกับ ราจิต แสงชูโต ผู้กำกับโฆษณา เจ้าของบริษัท มาโชว์แมงโก้ ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์ชื่อดัง ไปเมื่อเดือน ก.ย. 2548 ท่ามกลางบรรยากศริมทะเลอย่างโรแรมติก ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมี น้องนนนี่ ลูกสาว ที่เกิดกับ บิลลี่ โอแกน ร่วมเป็นพยานรัก ก่อนมีข่าวระหองระแหงถึงขั้นมีแนวโน้มเลิกรากันหลายครั้ง ในที่สุดชีวิตแต่งงานหนที่ 2 ของ แอน - สิเรียม อดีตนางเอก และพิธีกรสาวชื่อดัง ก็ถึงทางตันอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า แอน - สิเรียม ได้หย่ากับ ราจิต เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม่ายยังสวย ได้ออกมาเปิดใจกับผู้สื่อข่าวอย่างหมดเปลือก ถึงสาเหตุที่ทำให้ชีวิตการแต่งงานหนที่ 2 ต้องพังไม่เป็นท่าอีกครั้ง ระหว่างไปบันทึกเทปรายการ ชิงช้าสวรรค์ ที่สตูดิโอเวิร์คพอยท์ ย่านรังสิต ทันทีที่มาถึงห้องที่จัดไว้ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวสังเกตพบว่า พิธีกรสาวมีรอยช้ำรอบดวงตาทั้งสองข้าง ที่เกิดจากการร้องไห้เสียใจที่ผิดหวังในความรักครั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่ต้องแยกทางกับ ราจิต ที่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมากกว่า 5 ปีแล้ว พิธีกรสาวกล่าวว่า เป็นเพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แม้จะปรับความใจกันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เป็นผล

ทั้งนี้ สิเรียม กล่าวย้ำด้วยว่า ตนกับราจิตนั้น ไม่ได้มีการไปจดทะเบียนหย่ากันแต่อย่างไร เพราะตนกับราจิตนั้นเข้าประตูวิวาห์โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ... สาเหตุที่เลิกกันเพราะความคิดที่แตกต่างกัน ทิศทางในชีวิตต่างกัน ก่อนที่จะเลิกกันนั้นเรามีการปรับความเข้าใจกันก่อน เพราะเราเป็นสามีภรรยากันก็ต้องปรับความเข้าใจกัน เพื่อให้ชีวิตครอบครัวไปตลอดรอดฝั่ง แต่คือแนวทางชีวิตของเราสองคนมันค่อนข้างแตกต่างกัน ในตอนแรกเราก็พยามที่จะทำความเข้าใจมาโดยตลอด แต่มันก็ปรับได้ไม่ตรงกัน ใช้ความพยายามมากถึง 1 ปี ...

ต่อข้อซักถามว่า หลายคนมองว่า ราจิต เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ต้องเลิกรากัน ? พิธีกรสาวสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ อ้ำอึ้งครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า ... ไม่ใช่อย่างนั้น แอนคิดว่าคนที่มีโลกส่วนตัวนั้นไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิด กับเรื่องนี้แอนไม่อยากโทษใครเพราะเราเลือกกันเอง ฉันเลือกเธอ เธอเลือกฉัน แต่ถ้าเลือกแล้วมันไม่สามารถทำให้ชีวิตเราผ่านไปได้ด้วยดีก็แยกทางกัน น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า ...

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกแย่กับเรื่องนี้มากไหม ? พิธีกรสาวยอมรับว่า ... ก็แย่นะ เราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งยิ่งเป็นสังคมไทยด้วยแล้ว ผู้หญิงมักจะโดนจับตามองมากกว่าผู้ชาย แล้วด้วยหน้าที่การงานแล้วแอนต้องเป็นคนที่ออกมาพบสื่อออกมาพูด เพราะเราทำงานวงการนี้ และจิตเองเขาก็ไม่ได้มีหน้าที่มาอธิบายต่อสื่อ ...

ต่อข้อซักถามว่า ปัจจุบันยังได้พุดคุยกับ ราจิต อยู่บ้างหรือเปล่า หรือเลิกคุยกันไปเลย ? พิธีกรสาวกล่าวว่า ... จนมาถึงวันนี้แอนกับเขาเราแยกทางกันด้วยดี มาได้ประมาณ 1 เดือนแล้ว ก็พูดคุยกันบ้าง ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็พูดเฉพาะเรื่องที่จำเป็นค่ะ ...

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เพราะไม่มีลูกกับ ราจิต หรือเปล่าทำให้ไม่มีอะไรเชื่อมความรักให้เหนียวแน่นมากกว่านี้ ? พิธีกรสาวกล่าวว่า คำถามนี้ตอบยาก ก่อนสะอื้นน้ำตาซึม จนทีมงานต้องส่งกระดาษทิชชูให้ซับน้ำตา และกล่าวต่อไปว่า ... ไม่รู้เหมือนกันมันพูดยากนะ ตอบไม่ได้ ไม่มีก็ดีแล้ว สำหรับแอน 5 ปีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมามันก็มีสิ่งดีๆ มีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันมาโดยตลอด แต่ในเมื่อชีวิตเราเดินไปด้วยกันไม่ได้ ก็คิดว่าแยกกันเป็นทางที่ดีที่สุดก็คิดว่าทำใจได้แล้ว มันเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับเพราะมันคือความจริง เราต้องยอมรับ ...

ส่วนชีวิตทุกวันนี้ สิเรียม กล่าวว่า ตนกับ น้องนนนี่ - ด.ญ.นนลนีย์ โอแกน ลูกสาวที่เกิดกับ บิลลี่ โอแกน สามีคนแรก กลับมาอยู่ที่บ้านเดิม กับมารดาและยาย โดยพยายามทำใจไม่ให้อ่อนแอ เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของลูกสาว ที่ปัจจุบันนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้ว เล่นอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้รับรู้ข่าวสารเยอะ

... ตอนนี้ก็อยู่กับนนนี่ กลับมาอยู่ที่บ้านเดิม ก็มีคุณแม่มีคุณยาย แต่ตอนนี้คุณยายป่วยต้องไปดูแล นนนี่ก็เลยเป็นที่พึ่งทางจิตใจที่สำคัญ ในวันแรกที่ออกมากับลูกนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องเศร้า แต่เราจะอ่อนแอมากไม่ได้เพราะเรามีลูก ซึ่งในตอนนี้เราก็คือผู้นำครอบครัว เราต้องทำใจให้ได้ เพราะจะได้ไม่ทำให้คนรอบข้างสูญเสียจำลังใจ เพราะตอนนี้แคร์ความรู้สึกของลูกมากกว่าว่าเขาจะเข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เพราะตอนนี้เขาอยู่มัธยมศึกษาปีที่1แล้ว ก็อ่านหนังสือออกเล่นอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้เขาได้รับรู้ข่าวสารเยอะ แล้วพอดีเขาย้ายโรงเรียนด้วย เกิดมีคนมาถามเขาก็กลัวว่าลูกอาจรู้สึกกระทบกระเทือนทางจิตใจ จากคำพูดของคนรอบข้าง แต่ก็ยังดีที่มีงานแก้เหงา มีเพื่อนๆ ที่น่ารักโทรมาหาตลอด ...

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เสียใจมากกว่าครั้งแรกที่เลิกกับบิลลี่ไหม ? สิเรียม กล่าวว่า ... อาจเป็นเพราะวุฒิภาวะของเราที่โตขึ้น เราเลยยอมรับความเสียใจที่เกิดขึ้นได้ ... ต่อคำถามว่า บิลลี่ ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นบ้างหรือยัง ? พิธีกรสาวกล่าวว่า ... ทราบค่ะ แต่แอนไม่ได้บอก นนนี่เป็นคนบอก เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ...

ผู้สื่อข่าวได้ถามพิธีกรสาวต่อว่า ล้มเหลวกับชีวิตคู่มา 2 ครั้งแล้ว จะมีครั้งต่อไปหรือไม่ ? คุณแม่ยังสาวกล่าวว่า ... กับการแต่งงาน 2 ครั้งก็มากไปแล้ว อาจเพราะเราไม่มีโชคทางด้านความรักก็ได้ ตอนนี้คงไม่ต้องให้หมอดูมาดูดวงว่าตัวเองไม่มีดวงเรื่องความรัก เพราะตอนนี้คิดว่าคงสามารถที่จะดูตัวเองได้แล้ว อยากอยู่คนเดียว ไม่แต่งงาน พอกันที ...

สำหรับความรักของนางเอก - พิธีกรสาว เริ่มต้นด้วยการแต่งงานครั้งแรกกับ บิลลี่ โอแกน นักร้องชื่อดัง และมีลูกสาวเป็นพยานรักด้วยกันคือ น้องนนนี่ - ด.ญ.นนลนีย์ โอแกน เมื่อผิดหวังในความรักครั้งแรก ได้เข้าวิวาห์กับ ราจิต แสงชูโต ผู้กำกับโฆษณาเจ้าของบริษัท มาโชว์แมงโก้ ซึ่งเป็นบริษัทโปรดักชั่นเฮาส์ชื่อดัง ที่บ้านเจ้าพระยารามราฆพ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เมื่อเดือนก.ย.2548 รวมเป็นเวลา 3 ปีกว่า






ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก







Friday, November 14, 2008

ละคร ศิลามณี กบ สุวนันท์

Channel 7 :
ละคร ศิลามณี
แนวละคร ดราม่า
บทประพันธ์ วราภา
บทโทรทัศน์ วิรัลพัชร
กำกับการแสดง ธงชัย ประสงค์สันติ
ออกอากาศทุกวัน ศุกร์ - อาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7


ภัทรพล ศิลปาจารย์  รับบท  ภรตเรื่องย่อ

เจ้า หญิงแสงฝาง ( งาม ) เจ้าหญิงวัยรุ่นแสนสวยจากเมืองเชียงรัฐ เธอมีอายุสิบสี่ปีมาขอพบ คุณหญิงอทิติ บูรณโยธิน คุณหญิงผู้ยังสาวและสวยมาก เป็นภรรยาของ พลเอกจอมณรงค์ เมื่อคุณหญิงอทิติได้พบกับเจ้าหญิงแสงฝางก็ถึงกับอึ้งไป ไม่ใช่เพราะเป็นเจ้าหญิง แต่เพราะเป็นลูกสาวคนเดียวของเธอ อทิติสมรสครั้งแรกกับ เจ้าฟ้าแสนหลวง เจ้าผู้ครองเชียงรัฐ รัฐอิสระทางภาคเหนือของประเทศไทย เจ้าอายุมากกว่าอทิติถึงสองรอบ ความแตกต่างของอายุและความเงียบเชียบของเชียงรัฐ ซึ่งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าไม้ ทำให้อทิติทนไม่ได้ สองปีหลังจากให้กำเนิดลูกสาวคือเจ้าหญิงแสงฝาง

อทิติทิ้งทุกอย่างที่ เชียงรัฐกลับเป็นตัวของตัวเอง และต่อมาก็ได้สมรสกับพลเอกจอมณรงค์ เจ้าหญิงแสงฝางน้อยใจที่แม่ทอดทิ้ง จึงไม่ยอมติดต่อคุณหญิงอทิติเลย เจ้าหญิงแสงฝางมากับ หอมนวล พี่เลี้ยงวัยกลางคน เจ้าแสงฝางไม่แสดงอาการที่บ่งบอกถึงความรักที่ลูกมีต่อแม่แต่อย่างใดเลย เธอบอกคุณหญิงอทิติว่าเจ้าฟ้าแสนหลวงป่วยและเธอจะไปเยี่ยม ขอให้คุณหญิงอทิติไปด้วย แต่คุณหญิงปฏิเสธโดยอ้างสถานะที่ขณะนี้มีสามีใหม่แล้ว และไม่เห็นด้วยที่เจ้าแสงฝางจะขาดเรียน แต่เจ้าแสงฝางยืนยันจะไป การพูดถึงเจ้าพ่อด้วยความรักและผูกพันอย่างลึกซึ้งแต่พูดกับผู้เป็นแม่อย่าง ห่างเหิน

ราวพูดกับคนรู้จักผิวเผินทำให้คุณหญิงอทิติไม่ชอบใจ ศศิ ลูกสาวของพลเอกจอมณรงค์ ลูกเลี้ยงของคุณหญิงอทิติวัยไล่เลี่ยกับเจ้าแสงฝาง สนใจเจ้าแสงฝางมากเมื่อรู้ว่าเป็นเจ้าหญิงจากเมืองเหนือ แต่เธอไม่รู้ว่าเจ้าแสงฝางเป็นลูกสาวของคุณหญิงอทิติ เจ้าแสงฝางเดินทางไปเชียงรัฐคนเดียว เจ้าสายบดี มารับเจ้าแสงฝางที่สนามบินเชียงใหม่ เจ้าสายบดีเป็นลูกชายของ เจ้าบัวละวง น้องสาวคนเดียวของเจ้าฟ้าแสนหลวง บิดาของเขาคือ เจ้าวงตะวัน เจ้าแสงฝางถามอาการของเจ้าพ่อทันที เขาบอกว่าอาการเจ้าฟ้าแสนหลวงไม่สู้ดี ท่านอยากพบลูกสาวคนเดียวซึ่งเป็นสุดดวงใจของท่าน

เพราะมีเรื่องสำคัญ มากจะพูดกับเธอ ท่านจึงยังประคองลมหายใจมาได้จนวันนี้ เจ้าแสงฝางน้ำตาพรูเมื่อเห็นสภาพร่างกายที่ผ่ายผอมของเจ้าพ่อ เจ้าฟ้าแสนหลวงขอให้เจ้าแสงฝางรับช่วงปกครองเชียงรัฐต่อจากท่าน ขอให้เธอมีความอดทน และอย่าอับอายว่าเชียงรัฐเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เป็นเพียงจุดๆ เดียวที่มองไม่เห็นในแผนที่ประเทศไทย เพราะมันคืออาณาจักรบ้านเกิดเมืองนอนของเจ้าแสงฝาง เจ้าแสงฝางให้สัญญาและเจ้าฟ้าแสนหลวงได้พูดเรื่องสำคัญกับเธอ ขอให้เธอสัญญาว่าจะไม่โกรธและเกลียดท่าน ท่านบอกว่าได้ให้ศิลามณีแก่เพื่อนรักที่สุดของท่านคือ เจ้าคุณพระยาเพชรายุทธ

เจ้าคุณเป็นคนดีพร้อมทั้งจิตใจและชาติตระกูล ท่านจึงให้ศิลามณีไป ล่าสุดที่ติดต่อกันก่อนพระยาเพชรายุทธถึงแก่อสัญกรรม ฝ่ายนั้นยังคงเก็บรักษาศิลามณีไว้อย่างดี เจ้าแสงฝางรู้ธรรมเนียมของเผ่าพงศ์ดีว่า การให้ศิลามณีซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของเชียงรัฐและเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญที่ สุด ในการย่างเข้าสู่ความเป็นหญิงสาวของเธอแก่อีกฝ่ายนั้นหมายความว่าอย่างไร เจ้าบัวละวงสะดุ้งใจเมื่อเจ้าแสงฝางถามว่าจะเอาศิลามณีคืนมาได้อย่างไร เจ้าแสงฝางบอกว่าเธอเป็นเลือดเนื้อของเชียงรัฐ เธอไม่เคยอับอายในประเพณีโบราณของเชียงรัฐเลย และพร้อมจะปฏิบัติเหมือนหญิงสาวเชียงรัฐทั่วไป

แต่เธออยากเป็นผู้มอบ ศิลามณีให้แก่ชายที่เธอพอใจ ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ที่เขาอาจกำลังหัวเราะเยาะเธออยู่ก็ได้ เจ้าบัวละวงบอกว่าเมื่อเจ้าคุณเพชรายุทธสิ้น ศิลามณีคงตกอยู่ที่ คุณหญิงเสมอใจ ผู้เป็นภรรยา เจ้าแสงฝางบอกว่าเมื่อเรียนจบจะกลับมาอยู่เชียงรัฐ เป็นสมบัติของเชียงรัฐ เป็นกำลังใจให้พลเมืองที่นี่ไปจนเธอแก่เฒ่า เธอจึงอยากได้ศิลามณีคืน เจ้าสายบดีวิ่งหน้าตาตื่นมาตามเจ้าแสงฝางว่าเจ้าฟ้าแสนหลวงสิ้นใจแล้ว เจ้าแสงฝางเสียใจมากเธอสาบานว่าจะต้องเอาศิลามณีกลับคืนมาเป็นสมบัติของ เชียงรัฐให้ได้ โดยเธอจะกลับกรุงเทพฯ ไปเรียนต่อให้จบ และเธอจะอยู่อย่างสามัญชนสุวนันท์ คงยิ่ง  รับบท  เจ้าหญิงแสงฝาง ( งาม )

จาก นี้ไปจะไม่มีเจ้าหญิงแสงฝาง จะมีแต่ผู้หญิงที่ชื่อ งาม แสนหลวง เท่านั้น ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ งามเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับศศิ ด้วยความขรึม เฉยเมย และไว้ตัวของงาม ทำให้หนุ่มๆ ประจำสามแยกปากหมาว่าเธอหยิ่ง ไม่มีใครรู้ชาติตระกูลของเธอ งามมี ชาลี หนุ่มผมยาวแต่งตัวมอมตามแบบฉบับชาวศิลปากรรับส่งเป็นประจำ ภรต ราชเสนา ( ต้อม ) ลูกชายแท้ๆ ของคุณหญิงเสมอใจ ช่วยพี่ชายบุญธรรม นายแพทย์พิภพ ภักดีพงศ์ ( ต้น ) พูดกับคุณหญิงเสมอใจขอยืมเงินและขอที่ดินทำคลินิก หลังจาก นพ.พิภพย้ายจากต่างจังหวัดเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ

และยังพูดเลย ไปเรื่องหญิงสาวที่นพ.พิภพรักและมีแผนจะแต่งงานกัน คุณหญิงเสมอใจไม่พอใจนักที่ พ.พิภพจะลงเอยกับ เภสัชกรหญิงอิสรี สุรคุปต์ เพราะท่านยังไม่เคยเห็นหน้า และเมื่อซักประวัติคร่าวๆ เธอเป็นแค่หญิงสาวในครอบครัวข้าราชการบำนาญที่ไม่ร่ำรวยอะไร ท่านจึงไม่ค่อยเห็นด้วยและยังห่วงเรื่องหน้าตาของตระกูล ภรตอยากช่วยพี่ชายให้ถึงที่สุดจึงตามไปห้องนอนของแม่ เพื่อช่วยพูดเชียร์ให้แม่เห็นด้วยกับความรักของพี่ คุณหญิงเสมอใจกำลังขนเครื่องเพชรเครื่องทองออกมาดู ในจำนวนนั้นมีสร้อยมรกตเม็ดโตล้อมเพชรที่ใครๆ เห็นก็ต้องรู้ว่างามมากและค่ามหาศาล

ภรตยิ่งประหลาดใจเมื่อแม่บอกว่า มีคนให้มา คุณหญิงเครียดเมื่อนึกถึงที่มาของสร้อยมรกต คุณหญิงเล่าให้ภรตฟังว่านี่คือของหมั้นตามธรรมเนียมของเชียงรัฐ ฝ่ายหญิงจะหมั้นชายและเขาก็ได้หมั้นภรต ถึงฝ่ายโน้นจะเป็นเจ้า แต่ก็เป็นเจ้าแห่งเมืองเล็กๆ ซึ่งท่านเห็นว่าต่ำต้อยและรังเกียจมาก แต่เมื่อเจ้าคุณผู้เป็นสามีสั่งไว้ก่อนสิ้นใจให้ท่านดำเนินการต่อ มิฉะนั้นต้องคืนสร้อยมรกตเส้นนี้ไป ภรตไปหาชาลีน้องชายแท้ๆ ของเขาที่เรือนพักหลังเล็ก ซึ่งชาลีมักใช้เป็นห้องสร้างสรรค์งานศิลป์ของเขา ภรตถือวิสาสะเปิดดูภาพเขียนซึ่งชาลีคลุมผ้าไว้ชาลีหวงภาพนี้มาก

ภาพ นั้นคือภาพพอเทรตครึ่งตัวหญิงสาวสวยอ่อนหวานมาก โพกศีรษะแบบสาวชาวบ้านลานนา โดยมีงามเป็นนางแบบให้กับชาลี ในวันรุ่งขึ้นงามมาเป็นแบบให้ชาลีวาดภาพต่อจนเสร็จ ชาลีแนะนำงามให้รู้จักภรตว่าเป็นพี่ชายของเขา ภรตทักทายสั้นๆ กับงามแล้วจากไป เหมือนเย่อหยิ่งไม่สนใจเธอเลย งามเกิดอาการคอแข็งขึ้นมาทันที เธอแปลกใจที่คบกับชาลีมานานแต่ไม่รู้เลยว่าชาลีนามสกุลราชเสนา แต่ที่เธอใจเต้นที่สุดคือการได้รู้จัก ภรต ราชเสนา เขาคนนี้เองคือผู้ครอบครองศิลามณีของเธอ เมื่องามกลับถึงโรงงานผ้าไหมของเธอ งามเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักศึกษาสาวสะอาดใส

เป็นชุดสาวเหนือแต่ง หน้าเป็นสาวจัด ป้าหอมนวลบ่นเป็นห่วงงามที่ทำตัวเป็นนักศึกษายากจน ไม่มีหัวนอนปลายเท้าโหนรถเมล์กลับบ้านทุกวันให้คนดูถูก หากต้องการดูใจผู้คน ตอนนี้ก็ได้เห็นใจชาลีแล้วว่าเป็นคนดีมากทำไมไม่ให้ชาลีรับส่ง งามไม่ต้องการให้ชาลีรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน พันโทอติศักดิ์ หนึ่งในชายหนุ่มที่มาติดพันแม่เลี้ยงสาวเจ้าของโรงงานผ้าไหม พาเพื่อนมาซื้อเสื้อผ้าไหมเขาคือ ภรต ราชเสนา ภรตรู้สึกแม่เลี้ยงเหมือนใครที่เขาเคยเห็น แต่ก็นึกไม่ออก คุณหญิงอทิติไม่เคยได้ข่าวลูกสาวอีกเลย นับตั้งแต่งามเดินทางไปเยี่ยมเจ้าพ่อ การเติบโตเป็นสาวของศศิทำให้คุณหญิงคิดถึงลูกงามของเธอมาก

ด้วยว่า ทั้งสองสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คุณหญิงมีลูกชายกับพลเอกจอมณรงค์คนหนึ่ง ขณะนี้เพิ่งอายุสามขวบ งานฉลองแซยิดของคุณหญิงเสมอใจเป็นงานใหญ่ แขกเหรื่อมากมายภรตให้ชาลีชวนงามมาร่วมงานด้วย เมื่อได้พบคุณหญิงเสมอใจงามเห็นว่าท่านไม่ได้สวมศิลามณี งามกังวลว่าศิลามณีอยู่ที่ไหน และงามต้องใจหายเมื่อเห็นพลเอกจอมณรงค์ เธอเกรงจะพบแม่อทิติของเธอ แต่โล่งใจเมื่อรู้ว่านายพลมากับศศิ คุณหญิงเสมอใจเอาใจศศิมากจนออกนอกหน้า หลังอาหารงามและชาลีแยกตัวจากกลุ่มผู้คนไปนั่งเล่นใกล้เรือนเล็กของชาลี ถ้อยคำที่ชาลีแสดงความจงรักเทิดทูนงามอย่างยิ่ง

พูลภัทร อรรถปัญญาพล  รับบท  ชาลี / เปรมสินี รัตนโสภา  รับบท  ศศิทำ ให้งามทั้งสงสารและสมเพชชาลี เธอพูดเป็นนัยว่าชาลีอาจคิดว่าเธอดี แต่เธออาจใช้ชาลีเป็นบันไดไปสู่อะไรบางอย่าง ซึ่งหากวันหนึ่งชาลีรู้ความจริง ชาลีจะเสียใจและเกลียดเธออย่างที่สุดก็ได้ ชาลีว่าถึงเขาจะต้องเสียใจเพราะงาม แต่ความเสียใจนั้นจะไม่มีวันทำลายความรู้สึกที่เขายกย่องงามได้เลย ภรตพาศศิมาที่เรือนของชาลีเพราะศศิอยากดูภาพเขียน ชาลีพาศศิเข้าไปดูภาพเขียนในบ้าน ภรตจึงอยู่กับงามสองต่อสอง งามรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันใด ภรตจงใจพูดยั่วประสาทงาม เธอต่อปากต่อคำเขาไม่ลดละ ภรตนึกถึงแม่เลี้ยงสาวที่โรงงานผ้าไหม

บอก งามว่าหน้างามเหมือนแม่เลี้ยงสาวคนนั้น แต่ประชดประชันว่าแม่เลี้ยงสาวยิ้มหวานช่างพูดช่างเอาใจ แต่งามตรงข้ามทั้งหมดงามว่าเธอไม่มีทางเป็นแม่เลี้ยงคนนั้น เธอพูดประชดประชันเรื่องชาติกำเนิดที่เป็นคนต่างเมือง แต่เธอก็ทึ่งที่ภรตไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะเลย เขาว่าถึงเป็นชาวเหนือแต่ก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ภรตถามงามถึงเชียงรัฐ งามบอกว่ารู้จักดีที่สุดเพราะเธอเกิดและโตที่นั่น ภรตตื่นเต้นมากเขาถามงามถึงเจ้าหญิงแสงฝางว่าเป็นอย่างไร งามว่าเธอเป็นคนวงนอกไม่ค่อยรู้อะไรนัก เท่าที่รู้เจ้านางเป็นคนสวยมักอยู่แต่ในวังไม่ค่อยออกไปไหน เจ้านางเกลียดความชุลมุนวุ่นวายของโลกภายนอก

ภรตแกล้งถามถึงประเพณี ที่ผู้หญิงขอผู้ชายแต่งงาน ทำให้งามชักสงสัยว่าเหตุใดภรตจึงพูดถึงประเพณีของเชียงรัฐและเจ้านาง หรือว่าภรตจะรู้เรื่องของศิลามณีแล้ว ศศิบังเอิญเจอกับชาลีเมื่อรถเธอเสีย ชาลีเข้ามาช่วยและพาศศิไปส่งที่มหาวิทยาลัย เธอรู้สึกถูกใจกับชาลีเป็นอย่างมาก แต่ชาลีกับนิ่งเรียบมีใจให้งามเพียงคนเดียว งามกลับจากมหาวิทยาลัย ป้าหอมนวลบอกว่าภรตมาหาและจะกลับมาใหม่ตอนค่ำ ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อภรตงามใจเต้นระรัวด้วยสาเหตุที่ตอบตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยินดีว่าเมื่อภรตตามเธอนั่นหมายถึงชัยชนะกำลังเดินมาหาเธอ หากภรตหลงรูปโฉมของเธอ

เธอก็จะใช้ความงามปอกลอกเอาศิลามณีกลับคืนมา งามในสภาพแม่เลี้ยงสาวดูงามยิ่งนักในสายตาภรต ภรตเอ่ยปากชวนแม่เลี้ยงไปทานอาหาร แม่เลี้ยงตกปากรับคำทันที เมื่อภรตกลับถึงบ้านชาลีบอกภรตว่าเขาตกลงใจเช่าร้านที่ภรตติดต่อให้ เปิดแสดงภาพเขียนและจะเอาภาพสาวชาวป่าที่งามเป็นแบบไปโชว์ด้วยแต่จะไม่ขาย คุณหญิงเสมอใจถามเรื่องที่ค้างคาใจตั้งแต่งานเลี้ยงแซยิดว่างามเป็นใคร รู้สึกผิวเหลืองเหมือนสาวเหนือ ชาลีเงียบเขาคบหากับงามมานานแต่ไม่เคยรู้เลยว่าวามเป็นใครมาจากไหน ภรตเลยตอบแทนว่าเป็นสาวเหนือเป็นชาวเชียงรัฐ คุณหญิงเสมอใจได้ยินก็นึกถึงเรื่องศิลามณี

ท่านรังเกียจและดูถูกงาม ทันที และสั่งชาลีให้ระวังการคบหากับงาม ตอกย้ำว่าผู้หญิงเชียงรัฐรักผู้ชายคนไหนจะสู่ขอเลยทันที อีกหน่อยงามคงสู่ขอชาลีเหมือนที่ภรตโดนเจ้าหญิงเชียงรัฐสู่ขอมาแล้วตั้งแต่ เด็ก แต่ชาลีไม่สนใจ ภรตวางแผนเขาบอกแม่ว่าเขาจะดึงชาลีออกมาจากงามให้ได้ ภรตทะเลาะกับชาลีดูถูกว่างามไม่มีหัวนอนปลายเท้าจะปอกลอกชาลี ชาลีปกป้องงามจากคำกล่าวหาของภรต ภรตท้าพนันให้คอยดูว่างามจะโอนเอนมาหาเขาทั้งๆ ที่ชาลีสนิทสนมกับงามก่อนเขาและมากกว่าเขา ภรตมาพบแม่เลี้ยงเขาคุยกับเธอเรื่องความหัวอ่อนและอารมณ์อ่อนไหวของชาลี

ที่ ทำให้ลุ่มหลงผู้หญิงซึ่งแม่ไม่ชอบ และยังว่าผู้หญิงคนนั้นซึ่งคืองามให้งามฟังอีกด้วย เขาว่าเมื่อเห็นแม่เลี้ยงครั้งแรกเขาคิดว่าเป็นคนเดียวกับผู้หญิงคนนั้น แต่แม่เลี้ยงต่างจากผู้หญิงคนนั้นมาก ภรตว่าแม่มองผู้หญิงไว้ให้ชาลีแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็น ภรตชวนไปข้างนอก ตลอดทางแม่เลี้ยงยิ้มหวานคุยสนุกกับเขา แต่ใจบอกตัวเองว่าเกลียดนายภรตคนนี้นัก เขาดูถูกงาม แสนหลวง ไม่รู้เลยว่าจุดไต้ตำตอเข้าเต็มๆ ภรตพาแม่เลี้ยงไปดูแกลเลอรี่ของชาลี เธอแทบทำหน้าไม่ถูกเกรงชาลีจับได้ เธอเห็นภาพงามที่ชาลีวาดแขวนอยู่ในที่ที่เด่นที่สุด เมื่อชาลีมาต้อนรับและบอกว่าเขาไม่ขายภาพสาวชาวป่า

ที่เขาตั้งชื่อ ว่างาม เขาพูดถึงผู้เป็นนางแบบอย่างยกย่องภาคภูมิใจยิ่งนัก งามรู้ว่าเขาจริงใจเสมอต้นเสมอปลาย ความจริงใจของชาลีเกือบจะละลายทิฐิของงามต่อตระกูลราชเสนาลงได้ ชาลีตกใจเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวที่ภรตแนะนำว่าเป็นแม่เลี้ยงเจ้าของโรงงานผ้า ไหม แต่เมื่อแม่เลี้ยงไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะเป็นงาม ชาลีจึงนิ่งไปแต่ด้วยสายตาของผู้เป็นจิตกร เขาคิดว่ารูปร่างหน้าตาเช่นนี้ไม่น่าจะมีซ้ำเป็นคนที่สอง แม่เลี้ยงยืนยันอยากได้ภาพเขียนที่ชื่องาม ชาลียืนยันไม่ขาย ภรตเริ่มเดินแผนแยกชาลีจากงาม เขาไปหางามที่มหาวิทยาลัยขอคุยกับเธอเรื่องชาลีว่าปภัสรา เตชะไพบูลย์  รับบท  คุณหญิงอทิติ

ทั้ง แม่และเขาเห็นว่าชาลีควรได้แต่งงานกับหญิงที่มีสกุลรุนชาติและดีพร้อมหมด และเธอคนนั้นคือศศิ ภรตขอให้งามตีตัวออกห่างจากชาลีโดยคบชายอื่นแทน และเพื่อให้ชาลีแน่ใจว่างามทิ้งชาลีจริง ภรตเสนอตัวเองเป็นคนรักชั่วคราวของงาม งามถูกต้อนและถูกดูแคลนจนทั้งเจ็บทั้งแค้น แต่ที่เธอเจ็บปวดนักคือการที่เธอต้องทำร้ายชาลีเพื่อนแท้คนเดียวที่จริงใจ ต่อเธอที่สุด แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอเป็นคนเริ่มทุกอย่างเอง เริ่มด้วยความแค้นด้วยปณิธานแรงกล้าที่จะเอาศิลามณีคืน งามรับปากภรตจะตัดขาดชาลี แม่เลี้ยงงามดีใจมากเมื่อภรตนำภาพเขียนชื่องามของชาลีไปให้

ภรตไม่ รับเงินค่าภาพเขียนบอกว่าเป็นของขวัญจากเขา แม่เลี้ยงจึงสวนกลับว่าเป็นของขวัญเพื่อการจากกัน ภรตเครียดขรึมทันที งามรู้สึกว่าการปลอมตัวของเธอไม่ทำให้เธอเข้าถึงศิลามณี แต่กลับจะทำให้เธอกับภรตผูกพันกันยิ่งขึ้นเธอต้องตัดเขาแล้ว เธอบอกภรตว่าเจ้าสายบดีจะมาหาเธอวันนี้ ภรตสรุปว่าเจ้าสายบดีคือเจ้าของเธอ เขาลากลับทันที ในงานแข่งขันฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ภรตยังเจ็บแค้นแม่เลี้ยงเลยพาลไปถึงงามด้วย เขาเตือนชาลีให้เตรียมรับความโลเลใจง่ายชอบหลอกล่อชายให้ติดบ่วงของผู้หญิง ชาลีไม่สนใจ ภรตเข้ามาดูแข่งบอลด้วย

เมื่อเจอกับงามภรตดึงงามไปต่อ หน้าต่อตาชาลีและศศิ บอกชัดเจนว่างามกับเขานัดกันไว้งามไม่ขัดขืน เธอต้องรักษาสัจจะชาลีแทบหัวใจสลาย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดงามเปลี่ยนทีท่ากะทันหันมาก เขาไม่เชื่อว่าเธอจะเป็นหญิงใจโลเลดังที่พี่ชายพยายามพูดชี้นำ งามขึ้นรถไปกับภรตเธอเสียใจมากที่ทำร้ายความรู้สึกของชาลี ภรตพูดแกมบังคับเธอว่า จากนี้ไปงามจะไปไหนโดยไม่มีเขาไม่ได้จนกว่าชาลีจะแต่งงานกับศศิ หากงามจะพิสูจน์ตัวเองตามที่งามเคยบอกว่าคบกับชาลีด้วยความบริสุทธิ์ใจ งามต้องรอจนกว่าชาลีลงเอยกับศศิแล้วเขาจึงจะปล่อยมือจากเธอ

ชาลีกับ ภรตทะเลาะกันเรื่องงามอย่างหนัก จากวันนั้นชาลีเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างสิ้นเชิง ชาลีไปหาศศิทำเป็นร่าเริงจี๋จ๋ากับเธอกลบใจที่เจ็บจนชาของตัวเอง ศศิมีความสุขยิ่งนัก คุณหญิงเสมอใจยังประณามงามในฐานะสาวเหนือให้ภรตได้ยิน ภรตแก้ต่างแทนงามเขาคิดว่าตัวเองทำกับเธอเกินไป ที่ผ่านมาเขามองงามผิดๆ เพราะเขายังไม่เคยรู้ความจริงด้วยตัวเขาเอง คุณหญิงเสมอใจรื้อฟื้นที่ท่านเคยลั่นวาจาว่าหากชาลีและภรตแต่งงานกับผู้หญิง ที่ท่านไม่ชอบจะไม่ได้มรดกจากท่านเลย ภรตออกจากห้องมารดามาเจอกับชาลี ชาลีได้ยินทุกอย่างที่แม่พูด คำพูดของคุณหญิงเสมอใจครั้งนี้

ทำให้ พี่น้องกลับคืนกลมเกลียวกันได้ เพราะต่างเข้าใจและเห็นใจงามด้วยกันทั้งคู่ ภรตเสียใจที่มองงามผิดๆ และทำไม่ดีกับงามไว้มาก เขาอยากชดใช้ ภรตตั้งใจจะเอาศิลามณีไปคืนที่เชียงรัฐแล้วกลับมาของามแต่งงาน จนวันแต่งงานของชาลีกับศศิ ศศิพางามไปแนะนำกับคุณหญิงอทิติ เธอจำงามได้งามไม่ยอมเรียกแม่ว่าแม่ เรียกว่าคุณหญิงทุกคำ ถึงเวลารดน้ำสังข์ งามยืนเป็นเพื่อนเจ้าสาวด้วยใจเด็ดเดี่ยว เธอสงสารชาลีจนแทบจะร้องไห้ เมื่อเสร็จพิธีรดน้ำสังข์งามเป็นเหน็บเดินไม่ไหว ภรตโอบประคองเธอไปนั่ง เขาเป็นชายคนแรกที่ได้กอดเธอแนบชิด งามรู้สึกว่าสัมผัสนั้นนุ่มนวลจริงใจยิ่งนัก

ภรตรู้สึกว่าเขาทำผิด กับงามอย่างมาก เขาพยายามขอโทษงามไม่สนใจ บอกว่าเธอทำเพราะพันธะที่รับปากเขา ทันทีที่เสร็จสิ้นงานแต่งงานเธอถือว่าเธอเป็นอิสระจากพันธะกับภรต คุณหญิงอทิติมาเจอขอคุยกับงามเป็นส่วนตัว งามยังคงน้อยใจแม่คำพูดของงามทำให้คุณหญิงอทิติเสียใจจนร้องไห้ งามใจอ่อนยอมเรียกแม่ว่าแม่ และเล่าเรื่องที่เธอเป็นงาม แสนหลวงผู้ยากจนไม่มีสกุลรุนชาติ กับเรื่องศิลามณีให้แม่ฟัง งามกลับถึงเชียงรัฐบ้านเกิด ได้ไปกราบอัฐิเจ้าพ่อที่กู่เจ้าในวัดสวนดอก ถ้อยคำอธิษฐานของเธอเศร้านัก เธอบอกเจ้าพ่อว่ากลับมาเชียงรัฐอย่างผู้แพ้

หวัง ที่สุดที่จะให้ความอบอุ่นจากเชียงรัฐเป็นเครื่องสมานหัวใจของเธอ เจ้าหญิงแสงฝางกราบคารวะอัฐิผู้เป็นบิดาด้วยน้ำตา เจ้าสายบดีพาเพื่อนคือ เจ้าชายกาวิล แห่งรัฐไชยาบุรีมารู้จักกับเจ้าแสงฝาง เจ้าชายกาวิลเพิ่งกลับจากฝรั่งเศสและมาท่องเที่ยวเชียงรัฐ เขารูปชั่วปานกับจรกา เจ้าชายกาวิลรักเจ้าแสงฝางทันทีที่เห็นและรู้ว่าแสงฝางมีคู่หมั้นแล้วชื่อ ภรต ราชเสนา ภรตบอกชาลีว่างามหายไปตั้งแต่วันรุ่งขึ้นที่ชาลีแต่งงาน และเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้ว คำพูดและท่าทางเหมือนใกล้ตายของพี่ชายทำให้ชาลีถามว่าเขารักงามหรือ ภรตยอมรับว่าเขารักและต้องการแต่งงานกับงาม

อภิรดี ภวภูตานนท์  รับบท  เสมอใจภรต เล่าให้ชาลีฟังว่ามารดาเคี่ยวเข็ญให้แต่งงานกับลูกสาวของของคุณพระอายุศ ภรตขอศิลามณีไปคืนเชียงรัฐ เขาอยากหมดพันธะกับเจ้าหญิงแสงฝางเพื่อแต่งงานกับงาม ไม่แคร์แล้วว่างามจะเป็นใครมีหัวนอนปลายเท้าหรือไม่ ภรตจึงเขียนจดหมายถึงเจ้าหญิงแสงฝางขอยกเลิกการหมั้นและจะเอาศิลามณีไปคืน ที่เชียงรัฐ และขอพบเจ้าหญิงเพื่อเชิญไปงานแต่งงานของเขา เจ้าแสงฝางถือว่าจดหมายฉบับนี้เยาะเย้ยกันโดยตรง เธอรู้สึกว่าภรตดูถูกเธอ แล้วยังจะมาดูหน้าเธอถึงเชียงรัฐเยาะเย้ยกันอีกด้วย เจ้าแสงฝางจึงตัดสินใจแต่งงานกับเจ้าชายกาวิล ภรตเดินทางมาถึงเชียงรัฐขอพบเจ้าหญิงแสงฝาง

แต่เจ้าหญิงไม่อยู่ภรต จึงจะไปรอที่เชิงดอย ระหว่างทางมีรถจี๊ปคันหนึ่งแล่นเร็วมาก และรถของภรตแล่นสวนด้วยความเร็วมากพอกัน จึงหลีกกันไม่พ้นพุ่งชนกันอย่างแรง แสงฝางฟื้นขึ้นที่โรงพยาบาลโดยไม่บาดเจ็บอะไรมาก พยาบาลบอกเธอว่าชายที่มากับรถอีกคันแขนหัก ศีรษะแตก แสงฝางจึงไปเยี่ยมชายคนนั้น เธอตกใจเมื่อเห็นว่าเขาคือภรต แสงฝางจัดการให้ภรตได้อยู่ห้องพิเศษ ภรตฟื้นมาเห็นงามด้วยความดีใจที่สุด เขาบอกว่าคิดถึงเธอใจแทบขาดและพยายามตามหาเธอ ภรตเล่าเรื่องที่เขาไปเชียงรัฐแต่ไม่พบเจ้าหญิงแสงฝาง งามโกหกภรตว่าเธอเป็นคนรับใช้ของเจ้าหญิงแสงฝาง

ภรตว่าเขาจะถอนหมั้น เจ้าหญิงมาแต่งงานกับคนใช้ งามช็อกไปเลยเธอไม่นึกฝันเลยว่าจะได้ยินคำนี้จากภรต ภรตขอให้งามรอเขาหายป่วยแล้วเขาจะแต่งงานกับเธอ แต่งามปฏิเสธเธอเชิญภรตมาร่วมงามแต่งงานของเจ้าแสงฝางกับเจ้าชายกาวิล คุณหญิงอทิติตัดสินใจจะเปิดเผยความจริงเรื่องงาม แสนหลวงแก่ภรต ชาลีบอกว่าภรตไปเชียงรัฐเอาศิลามณีไปคืน คุณหญิงอทิติเปิดเผยกับชาลีและศศิว่างามเป็นลูกสาวของเธอ พ่อของงามคือเจ้าฟ้าแสนหลวงแห่งเชียงรัฐ งามคือเจ้าหญิงแสงฝางคู่หมั้นของภรต คุณหญิงอทิติเล่าสาเหตุที่เจ้าแสงฝางเข้ากรุงเทพฯ มาตามหาศิลามณีให้ชาลีและศศิฟังทั้งหมด

เจ้าชายกาวิลกลับมาพร้อมของ บรรณาการ และในวันงานขันโตกเจ้าสายบดียังบ่นไม่ชอบใจที่แสงฝางถือแต่ทิฐิจะแก้แค้นภรต สายบดีพาภรตไปนั่งกับเจ้าชายกาวิล กาวิลหงุดหงิดทันใดเมื่อสายบดีแนะนำว่าหนุ่มรูปงามผู้นี้คือ ภรต ราชเสนา และก็มีเสียงขานชื่อเจ้าหญิงแสงฝางแล้วผู้คนลุกยืนต้อนรับ ภรตรู้สึกเหมือนถูกใครควักหัวใจกระชากอย่างแรง เจ้าหญิงแสงฝางคู่หมั้นของเขานั้นคือ งาม แสนหลวง ชัดๆ และแวบหนึ่งที่เจ้าหญิงสบตาเขา ภาพความหลังต่างๆ ผุดพรายในความทรงจำ เธอมิใช่เพียงเป็นงาม แสนหลวง เธอยังเป็นแม่เลี้ยงสาวเจ้าของโรงงานผ้าไหมอีกด้วย

ภรตเพิ่งตาสว่าง วันนี้ ความรัก ความแค้น ความถือตัวทำให้เลือดในกายแล่นพล่าน คำบอกเล่าของงาม แสนหลวงที่ว่า เจ้าหญิงแสงฝางกับเจ้าชายกาวิลกำลังจะแต่งงานกัน ที่ทำให้ภรตดีใจว่าเขาจะเป็นอิสระได้แต่งงานกับหญิงอันเป็นที่รัก กลับกลายเป็นว่างาม แสนหลวงจับเขาเชิดเป็นเป็นหุ่นอย่างสนุกมือ ภรตบอกว่าจะกลับกรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้น แสงฝางใจหาย จากนั้นทั้งตาทั้งใจของภรตว่างเปล่า ภรตได้พบกับเจ้าแสงฝางเป็นการส่วนตัว สองคนโต้กันด้วยใจที่เจ็บร้าวด้วยรัก ภรตเสียใจที่แสงฝางทำทุกอย่างเพียงเพื่อแก้แค้นเขา แสงฝางโต้อย่างเจ็บช้ำที่ภรตทำกับเธอ

เหยียดเธอเป็นพวกต่างเมืองกีด กันชาลีจากเธอ เขาต่างหากที่ตีราคาเธอต่ำจนเธอต้องสัญญากับตัวเองว่า เขาจะได้รับการตอบแทนจากเธอเช่นกัน ภรตว่าแสงฝางได้ตอบแทนเขาอย่างสาสมแล้ว การที่รู้ว่าผู้หญิงที่ตนรักกำลังจะแต่งงานกับชายอื่นทำให้เขาผิดหวังมาก แต่เขาก็ยินดีกับเธออย่างจริงใจ เขาสวมสร้อยศิลามณีให้แสงฝาง กระซิบฝากบอกงาม แสนหลวงว่าถึงอย่างไรเขาก็รักเธอเสมอแล้วเดินจากไป สายบดีเข้ามาบอกเจ้าแสงฝางว่าเขาบอกเจ้าชายกาวิลไปแล้วว่า แสงฝางกับภรตกำลังตกลงกันเรื่องวันแต่งงาน ก็หมั้นกันมาตั้งนานแล้ว แสงฝางทุบสายบดีฐานเจ้าอุบาย

ภรตอยู่ไปวันๆ ด้วยความเซ็ง ชาลีกับศศิมาบอกว่าวันนี้คุณหญิงอทิติพาลูกสาวมาไหว้คุณหญิงเสมอใจ ภรตงงว่าคุณหญิงอทิติมีลูกสาวที่ไหนอีก เมื่อภรตมาที่ห้องรับแขกเขาพบกับงาม แสนหลวง เขาตะลึงตัวชา งามเล่าให้ภรตฟังว่าเธอกลับมากรุงเทพฯ เพราะคุณหญิงอทิติส่งจดหมายไปบอกว่าป่วยมาก แต่เมื่อเธอมาถึงคุณหญิงไม่เป็นอะไรเลย คุณหญิงบอกว่าใช้วิธีนั้นเรียกงามมาเพื่อพางามไปกราบทำความรู้จักกับคุณหญิง เสมอใจ ภรตรู้ว่าแม่เขาพอใจงามขึ้นมาบ้าง เมื่อรู้ว่างามเป็นลูกนพพล พิทักษ์โล่พานิช  รับบท  เจ้าสายบดีสาว คุณหญิงอทิติ ต้องขอบคุณคุณหญิงอทิติที่ช่วยแก้ปัญหารักให้เขากับงาม ภรตชื่นใจยิ่งนักเขาบอกงามว่าเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้อิสรีแต่งกับนพ.พิภพคราว นี้แล้วเลิกเป็นเพื่อนเจ้าสาวเสียที เก็บตัวไว้เป็นเจ้าสาวของเขาคนเดียว งามยิ้มรับอย่างอ่อนหวาน


รายชื่อนักแสดง

ภัทรพล ศิลปาจารย์ รับบท ภรต
สุวนันท์ คงยิ่ง รับบท เจ้าหญิงแสงฝาง ( งาม )
พูลภัทร อรรถปัญญาพล รับบท ชาลี
เปรมสินี รัตนโสภา รับบท ศศิ
ปภัสรา เตชะไพบูลย์ รับบท คุณหญิงอทิติ
สมภพ เบญจาทิกุล รับบท เจ้าฟ้าแสนหลวง
อภิรดี ภวภูตานนท์ รับบท เสมอใจ
ไพโรจน์ ใจสิงห์ รับบท เจ้าคุณพระยาเพชรายุทธ
นพพล พิทักษ์โล่พานิช รับบท เจ้าสายบดี
จตุรวิทย์ คชน่วม รับบท พันโทอติศักดิ์

ที่มา:http://movie.sanook.com/drama/drama_14828.php

เพิ่มความจำให้สมอง

เพิ่มความจำให้สมอง




สมองก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ที่ต้องออกกำลังบริหารอยู่เสมอ เพื่อให้คงอยู่ในสภาพดี นอกจากจะส่งผลให้สมองโลดแล่นแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจดจำด้วย

สำหรับ ใครที่เป็นคนขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นเพราะละเลยการบำรุงสมองไป "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้ มีวิธีเพิ่มความจำให้สมอง ด้วยหลักปฏิบัติง่ายๆ มาฝากกัน

1. อาหารเพิ่มความจำ อยู่ในอาหารกลุ่มวิตามินบี เช่น นมพร่องมันเนย กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน

กลุ่มธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ซึ่งเกี่ยวกับระบบการคิด

ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง

ปลาที่มีโอเมก้า 3 อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ช่วยป้องกันความจำเสื่อม

2. ออกกำลังเพิ่มความจำ การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

3. นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ

4. บริหารสมอง อาทิ การเล่นหมากรุก หมากล้อม เล่นเกมคอร์สเวิร์ด ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความคิด เซลล์สมองจะเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย

หลักง่ายๆ ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพียงเท่านี้...ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน สมองก็ยังมีประสิทธิภาพ ความจำก็ยังดีอยู่เสมอ

ที่มา:http://hilight.kapook.com/view/30920

คลิปลับ...ภาพหลุด

คลิปลับ...ภาพหลุด

คลิปลับ...ภาพหลุด...ฉุดชีวิต?



ใช่ค่ะ มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ แต่หลายฝ่ายก็วิเคราะห์กันแล้วว่า ‘การปล่อยคลิป’ เป็น ‘เครื่องมือทางการประชาสัมพันธ์’ แห่งยุค ‘ด้านได้-อายอด’ อย่างในปัจจุบัน

ตาลุกวาวกันเชียว...ชิมิคะ มามะ...จิ๊จ๊ะจะร่ายให้ฟัง...

ขาใหญ่แห่งวงการบันเทิงทั้งหลายกำลังกุมขมับกันเลยทีเดียว บางท่านถึงกับอุทานว่า “ทำข่าวบันเทิงมาจนหัวหงอก เพิ่งเห็นก็ปีสองปีนี้แหละ” ผู้อาวุโสรายเดิมร่ายยาวต่อไปอีกว่า แต่ก่อนแต่ไรมา พวกอยากดังในวงการมายาทั้งหลายจะใช้วิธีเอาตัวเข้าแลกกับคนที่มีอิทธิพลในวง การ ที่สามารถ ‘จ่ายงาน’ ให้ได้ แล้วเขาหรือเธอก็จะมีหนังมีละครให้แสดงไปจนกว่าจะเสื่อมความนิยมไปเอง (อันนี้หมายถึงทั้งคนดูและคู่ขานะเจ้าคะ-อิอิ)

แต่ ปัจจุบัน...ล้ำลึกกว่านั้นหลายๆ เขาสรุปเป็นสูตรสำเร็จออกมาว่า วิธี ‘สร้างชื่อ’ หรือ ‘กระตุกความสนใจ’ สมัยนี้ ทำได้หลายวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ

1. ปล่อยข่าวเกาเหลา

แสร้งปล่อยข่าวทะเลาะกัน ไม่ถูกกัน กัดกัน เอ๊ย! คนนะเจ้าคะ จิ๊จ๊ะว่าคงจะแค่ ‘เหน็บแนม’ กันละมากกว่า (ฮาๆ) ทำให้นักข่าวต้องคอยติดตาม ถามมุมแดงที แล้วก็ย้ายไปถามมุมน้ำเงินที ปรากฏการณ์เช่นนี้มีกมลสันดานนักข่าวยุคปัจจุบันผสมโรงด้วย ผู้อาวุโสท่านใช้คำนี้

กล่าวคือ นักข่าวบันเทิงปัจจุบัน ไม่สนใจ ‘ฝีมือทางการแสดง’ เพื่อนำเสนอข่าวในทางสร้างสรรค์ หากแต่ไปสนใจข่าวใต้ร่มผ้า และเรื่องส่วนตัวของนักร้อง ดารา มากกว่า ทำให้ดาราที่ชาญฉลาด และประชาสัมพันธ์ส่วนตัวที่รอบจัด ใช้โอกาสนี้สร้างข่าว

ช่อง 7 นี่ละ เด็ดที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เวลานี้จิ๊จ๊ะนึกไม่ออกเลยค่ะว่า ขวัญ-อุษามณี แกดีกะใครในช่องเดียวกันบ้าง ข่าวว่าแกไม่ถูกกับ ปู ไปรยา แล้วก็ข้ามรุ่นมาถึง ปู มัณฑนา ล่าสุดก็เกาเหลากับสาวแพนเค้ก หูย! อกอีจิ๊จะแตก นอกจากคุณแดง-สุรางค์ เปรมปรีดิ์แล้วนี่ หนูขวัญแกญาติดีกะเพื่อนนางเอกคนไหนบ้างน๊อ...

แต่ชีก็ดังชิมิคะ? นักข่าวเกาะติดข่าวคราวและดักสัมภาษณ์เธอทุกที่!

2. แย่งของรัก

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ เข็ม ตีสิบ, อั้ม พัชราภา และ เมย์ เฟื่องอารมณ์ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ข่าวการยื้ดยุดฉุดกระชาก แย่งรถมินิคูเปอร์กัน ก็เป็นตัวจุดประกายให้ผู้หญิงสามคนนี้เป็นที่รู้จักอย่างมากของคนทั้งประเทศ จะเคยทำอะไรมาก่อน แล้วทำได้ดีไหม ไม่สนค่ะ อยากรู้แค่ว่าจะตบกันอีกกี่รอบ แล้วผู้ชายจะเลือกใคร นักข่าวก็เลยเที่ยวถือไมค์ไปไล่จิ้ม ถามเข็มที ถามเมย์ที ถามอั้มที ถามหนุ่ม กรรชัยที มีข่าวให้เล่นไปได้เจ็ดชั่วโคตร

เข็ม ตีสิบ เลือกที่จะถอยออกจากข่าวก่อนใคร และในที่สุดตัดสินใจให้ข่าวว่าปรับความเข้าใจกับอั้มแล้ว เรื่องนี้จึงซาลง แต่ก็อย่างที่บอกนะคะ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ข่าวแย่งของรักและเพื่อนรักมาช่วยแย่งรอบนี้ มีผลข้างเคียงในทางดีกับบางคน ข่าวว่า ‘งานเข้า’ เพียบ!

3. งอนๆ ง้อๆ

ตัวอย่างที่ชัดที่สุด ก็เห็นจะเป็น อาร์ เดอะ สตาร์ กับเป้ย ปานวาดนี่แหละค่ะ สามวันดี สี่วันงอน นักข่าวก็ตามไปถามกันอยู่นั่นล่ะว่า ยังรักกันอยู่ไหมคะ งอนกันหรือคะ ดีกันแล้วหรือคะ ไม่คิดจะถามเลยว่าเล่นละครดีไหม บทยากไหม ตีความบทยังไง ส่วนนายอาร์วานรน้อย จะมีอัลบัมใหม่ไหมคะ เกิดไหมคะ อุตส่าห์ได้เป็นเดอะ สตาร์ ดูน้องบี้ ที่เจ๊ช่วยดันสิคะ ทำไมดังเป็นพลุ นี่ถ้าไม่มีข่าวงอนกัน จิ๊ก็นึกไม่ออกเลยว่าสองคนนี้จะมีโอกาสเสนอหน้าในพื้นที่ข่าวได้บ้างหรือ เปล่า เฮ้อ!

4. รักโปรโมท

ไม่ว่าจะตั้งใจโปรโมทเอง หรือประชาสัมพันธ์จัดการให้ สุดท้ายก็จบลงด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า “เป็นพี่น้องกันค่ะ ไม่เคยพูดว่าเป็นแฟนกันเลยค่ะ ขึ้นคอนโดฯ หรือคะ เอาของขวัญวันเกิดไปให้ค่ะ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่คะ” สารพัดจะจีบปากจีบคอ ว่ากันไป บางคนฝ่ายชายนั้นแสนจะ ‘เพื่อนหญิงพลังหญิง’ ยังดันทุรังเลือกใช้วิธีนี้โปรโมทตัวเอง เห็นแล้วกลุ้มใจ โดยเฉพาะข่าวนางเอกสาวผู้งามจนหยาดเยิ้มหยดย้อยกับน้องกระต่ายน้อยนี่ล่ะ จิ๊จ๊ะกลุ้มเป็นพิเศษ...คริคริ

5. เปิดหวอ

ถ้าเป็นนางแบบ ก็ต้องแกล้งทำเป็นจุกโผล่บนแคตวอล์กเวทีใหญ่ๆ ให้เป็นข่าวดัง ถ้าเป็นดารา ไปงานประกาศรางวัลที่ไหน ก็ต้องแต่งตัวน้อยชิ้นเข้าไว้ ซีทรูเข้าไว้ บางรายปล่อยให้เสื้อหลุด เต้าโผล่เลยทีเดียวเชียวค่ะ เฮ้อ! หรือหากไปงานเล็กๆ นั่งให้หวอออกเข้าไว้ เดี๋ยวตากล้องก็แชะภาพไปตีพิมพ์เองแหละ

กระนั้นก็ตาม ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นข้อถัดไปนี่แหละค่ะ โดยเฉพาะในหมู่ผู้อาวุโส รู้แล้ว เห็นแล้ว ต้องกุมขมับ

6. ภาพหลุด-คลิปลับ

โลกมันหมุนไปไกลนะคะ จนผู้หลักผู้ใหญ่ตามไม่ทันเทคโนโลยี ภาพลูกสาวลูกชายจูบปาก หอมแก้ม กอด ควง เคียง อยู่กะคนนั้นคนนี้ พ่อแม่ไม่รู้ มารู้อีกทีก็ตอนที่มีภาพหลุดออกมา บางคนจูบปากกัน บางคนหอมแก้มกัน บางคนแค่เอาแก้มแนบแก้ม แล้วทำหน้าแบ๊วใส่กล้อง แต่ยิ่งนานวัน ลีลาที่หนุ่มๆ สาวๆ คลอเคลียกันในภาพหลุด คลิปลับ ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ด็อจ บีมิกซ์ เป็นรายแรกๆ ที่ชีวิตต้องรับผลกระทบจากการมีภาพหลุดสวีตหวานคู่กับน้องแตงโม ภัทริดา แฟนสาวในขณะนั้น ที่ขณะนี้เธอได้ชื่อว่าเป็นแฟนของชายหนุ่มรายอื่นไปแล้ว

ด็อจเจอไม้เด็ดที่ทางค่ายอาร์เอสสั่งงดงานในวงการทั้งหมดเป็นการลงโทษที่ ‘วางตัวไม่เหมาะสม’ หูย! คนปรบมือให้อาร์เอสกันเกรียวกราวทีเดียวค่ะ

แต่หลังจากนั้นมา น้องแนนนี่ เกิร์ลลี่ เบอร์รี่ กับศิลปินหนุ่ม ก็มีภาพหลุดในสภาพใกล้ชิดกันไม่ต่างจากด็อจ-แตงโม แต่อัลบัมดูโอ ‘โจ-ป๊อป’ กลับวางแผงหลังจากมีข่าวนี้ไม่กี่วัน เช่นเดียวกับผลงานใหม่ล่าสุดของวงเกิร์ลลี่ เบอร์รี่ อุแม่เจ้า! จะให้คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ เข้าใจว่าไงกันคะเนี่ย

ว่ากันว่า ภาพหลุด คลิปลับนี้ ไม่เพียงแต่ถูกปล่อยออกมาเพื่อ ‘สร้างกระแส’ เท่านั้นนะคะ บางทีก็ปล่อยออกมาเพื่อจะ ‘ฆ่า’ ไม่ยอมให้เกิดด้วย

รายที่น่าสงสารที่สุดก็คือ น้องอาร์ตี้-ธนฉัตร ตุลยฉัตร ที่มีการปล่อยภาพลับคนหน้าเหมือน กำลังอัตตาหิ อัตโน นาโถ ทางเพศให้แก่ตัวเองอยู่ ดูดู๊...น้องเขายังอยู่แค่ชั้น ม.ปลาย เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการมายา ก็มาดักฆ่ากันเสียได้ ไม่สงสารเด็กบ้างหรืออย่างไร แต่สุดท้ายแผนนี้ของผู้ไม่หวังดีก็ไม่เป็นผล น้องอาร์ตี้พาหนังบุญชูขายดี ไม่ขาดทุน และกำลังจะมีหนังเรื่องใหม่ให้ตามอุดหนุนกันต่อในปีหน้า

แต่ที่น่าสงสารยิ่งกว่าก็คือ ‘โฟร์-มด’

เธอถูกละเมิดสิทธิด้วยการแอบถ่ายคลิปขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำของโรงแรม แห่งหนึ่ง แล้วนำออกมาเผยแพร่ ที่วุ่นหนักไปกว่านั้นก็คือ คนปล่อยคลิปก็ฉลาดเหลือแสน มาปล่อยหลังจากถ่ายไว้นานข้ามปีจนคดีหมดอายุ ไม่สามารถเอาผิดผู้ลักลอบถ่ายได้ แถมคดียังชุลมุนวุ่นวายเมื่อ ‘นางฟ้า’ กับ ‘ตำรวจ’ แย่งกันดังบนความทุกข์ของเธอทั้งสอง กรรมจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละ Life goes on เจ้าค่ะ ทุกข์ระทมขมขื่นใจก็ทำอะไรไม่ได้ คนเลวชาติทั้งหลายนั่งดูคลิปเธอแล้วอัตตาหิ อัตโน นาโถกันเป็นแถว สู้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสจะดีกว่า ต้นสังกัดเลยส่งเพลง “ดูมั้ยดู๊ ดูมั้ยดู๊ ดูไม่เสียตังค์” อ๊าย! จำเนื้อผิดนี่คะ เอาเป็นว่าตอนนี้เพลง ‘ดูมั้ย’ ของคุณน้องทั้งสอง ดังเปรี้ยงปร้างทีเดียวเชียว

ความโฟร์-มดยังไม่ทันหาย ความคลิปสยึ๋มกึ๋ยของดาราชายก็เข้ามาแทรก สดๆ จะๆ ทั้งภาพและเสียง จะบอกว่าเป็นคนหน้าเหมือนก็กระไร เพราะเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองเอาไว้ในคลิปอย่างชัดเจน ก่อนจะร้องดังมาก “อ๊ากๆๆๆๆ” จนจิ๊จ๊ะตกใจ นึกว่าดูละครอยู่ อุ๊! ของจริงชิมิคะ แหม! ดราม่าเข้าขั้นทีเดียว

งานนี้ยิ่งน่าสะเทือนใจนะคะ แม้ดาราชายจะออกมาแถลงข่าว ร่ำไห้ กราบขอโทษ คนก็ยังไม่วายไล่คว้าหาคลิปลับของเขามาดู หญิงก็ได้ ชายก็ดี มีครบ 3 คลิป ดูกันจุใจแล้ววิพากษ์กันไปต่างๆ นานา ที่จิ๊จ๊ะได้ฟังแล้วอยากจะชักตาตั้งก็คือ “เขาปล่อยคลิปลับดับข่าวเป็นเกย์รึเปล่า” โห! คิดกันได้นะคะ

วิเคราะห์กันขนาดที่ว่า ปกติคนถ่ายคลิปลักษณะนี้จะส่องกล้องไปที่สุภาพสตรีมากกว่าส่องอยู่ที่หน้า และเรือนร่างของตัวเอง แต่นี่กลับเป็นในทางตรงกันข้าม ทำเอาชะนี เอ๊ย! สุภาพสตรีที่ ‘เข้าพรรษา’ อยู่ในคลิปเป็นแค่อุปกรณ์ประกอบฉากเท่านั้นเอง

ใจร้าย...ใจร้าย...ใจร้าย วิเคราะห์กันได้บนคราบน้ำตาของน้องเค้า!

ที่น่าสนใจที่สุด ต้องความเห็นของคนนี้ค่ะ

นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผอ. มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ใน ฐานะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ กล่าวถึงปัญหาเด็กและเยาวชนนิยมดูคลิปหลุดดารามีเพศสัมพันธ์หรือโป๊เปลือย ทางอินเทอร์เน็ตว่า ผลเสียจากการที่เด็กและเยาวชนติดตามดูคลิปมีเพศสัมพันธ์ดาราตามกระแส จะกระตุ้นให้เด็กเกิดอารมณ์ทางเพศ พัฒนาการทางเพศผิดปกติ สนใจมีเพศสัมพันธ์เร็วกว่าวัย จนเกิดปัญหาเด็กไปข่มขืนเด็กด้วยกันเอง หรือเด็กผู้หญิงยอมไปมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่เลือกหน้ามากขึ้น

ซึ่งการแก้ปัญหาต้องป้องกันโดยทำความเข้าใจกับเด็กให้รู้จักทำกิจกรรมทดแทน การมีเซ็กซ์ เช่น ออกกำลังกายเผาผลาญอารมณ์เพศ ให้เด็กทำกิจกรรมหลั่งสารความสุขแทนการออกัสซั่ม ดึงไม่ให้เด็กหมกมุ่นกับตัวเอง และให้เด็กเรียนรู้ว่าการดูคลิปจะไปกระตุ้นความต้องการทางเพศที่ไม่เหมาะสม กับวัย และระยะยาวต้องสอนเด็กตั้งแต่ก่อนเข้าสู่วัยรุ่นในเรื่องนี้

กรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ปัญหาคลิปโป๊ที่แพร่ทางสื่อต่างๆ ทั้งมือถือ อินเทอร์เน็ต อยากเรียกร้องรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงไอซีที กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาควบคุมดูแลจริงจัง อาจต้องมีตำรวจไซเบอร์หรืออาสาสมัครคุ้มครองเด็กเยาวชน ส่วนคลิปดาราที่เป็นกระแสคลิปหลุด จะยิ่งกระตุ้นให้คนอยากไปตามดู โดยเฉพาะคลิปล่าสุดของ อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง ซึ่งเป็นดาราที่อยู่ในคลิปถือว่าเป็นผู้ผลิตวัตถุลามก เพราะเป็นคนใช้มือถือถ่ายขึ้นมาเอง ก็มีความผิดอาญา โดยตำรวจควรจะสอบสวนว่า ที่บอกมือถือหายนั้น เจตนาแกล้งทำให้คลิปหลุดหรือประมาทธรรมดา เพราะมีหลักฐานให้ตามได้ เช่น แจ้งความไว้เมื่อใดว่ามือถือหาย มีร่องรอยจากคลิปให้ตามเรื่องได้

“คนที่ถ่ายคลิปตัวเองมีเพศสัมพันธ์กับใครเพื่อเอาไว้ดูเอง เป็นอารมณ์ทางเพศที่ต้องได้รับการบำบัดจากแพทย์ คล้ายกับการบังคับให้คู่สมรสหรือแฟนไปมีเซ็กซ์กับคนอื่นให้ตัวเองดู เป็นการสร้างความรู้สึกพึงพอใจทางเพศจากการถ่ายคลิปการมีเพศสัมพันธ์ถือว่า ผิดปกติทางจิต คนเหล่านี้ต้องไปรับการรักษาโดยเร็ว” นายสรรพสิทธิ์กล่าวในที่สุด

ที่มา:http://campus.sanook.com/teen_zone/spice_04873.php

Thursday, November 13, 2008

ช็อก!! กบ เผยกลางกองถ่าย ส่อแสดงศิลามณีเรื่องสุดท้าย

ช็อก!! กบ เผยกลางกองถ่าย ส่อแสดงศิลามณีเรื่องสุดท้าย

ช็อกวงการ กบ - สุวนันท์ ประกาศกลางกองถ่าย อาจแสดงละคร ศิลามณี เป็นเรื่องสุดท้าย แต่ไม่อยากฟันธง เพราะกลัวกลืนน้ำลายตัวเอง อุบบอกเหตุผลที่อยากทิ้งงานแสดง อ้างเดี๋ยวรู้เอง รับห่างแฟนหนุ่ม เพราะต่างคนต่างทำงาน

กบ - สุวนันท์ คงยิ่ง
กบ - สุวนันท์ คงยิ่ง
แสดงภาพยนตร์-ละครในวงการบันเทิง เป็นนางเอกวิก 7 สี มายาวนานกว่า 10 ปี สำหรับ น.ส.สุวนันท์ คงยิ่ง หรือ กบ ซึ่งไม่ว่าจะหยิบจับทำอะไรดูเหมือนจะตกเป็นข่าวอยู่เสมอ ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 29 ตุลาคม กองถ่ายละครเรื่อง ศิลามณี ที่หอสมุดแห่งชาติ เทเวศร์ กบซึ่งรับบทเป็นนางเอก บอกสื่อมวลชนว่า อาจจะออกจากวงการบันเทิง โดยจะแสดงละครเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสุดท้าย

กบ กล่าวว่า ต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบเรื่องนี้ได้ ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอะไรขนาดไหน ไม่อยากให้คำพูดมาผูกมัดตัวเอง เพราะในอนาคตข้างหน้าเผื่อจะกลับมาเล่นละครอีกครั้ง เดี๋ยวจะเป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง หากผู้ใหญ่ให้กลับมาแสดงละครอีกก็จะกลับมา

"สำหรับแฟนคลับเขาก็ถามนะ แต่กบยังไม่ให้คำตอบอะไรที่แน่นอน เนื่องจากยังให้ไม่ได้ คือกบเชื่อว่าจะเล่นละครหรือไม่เล่นจริงๆ มันมีเหตุผล คือมันมีเหตุผล ที่เกิดมาจากการตัดสินใจของกบเอง และจริงๆ ก็ไม่อยากให้มันเป็นกระแสบอกว่ากบจะเล่นละครเรื่องศิลามณี เป็นเรื่องสุดท้าย หรือว่ากบจะเลิกเล่นละครแล้ว เราไม่อยากให้คำมั่นสัญญา หรือให้คำพูดเป็นการผูกมัดตัวเอง" นางเอกคนดังกล่าว

กบ กล่าวต่อว่า อยู่ในวงการนี้มา 16-17 ปีแล้ว ตั้งแต่เด็ก ถ้าจะออกจากวงการนับเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกับผู้ใหญ่ทางช่อง ถึงบอกอะไรตอนนี้ไม่ได้ เพราะถึงแม้วันนี้ตนจะตกลงเลิกเล่นละครแล้ว แต่ด้วยความที่ยังมีผู้ใหญ่ที่นับถือก็คงต้องปรึกษาก่อน

" ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็ยังมีผู้ใหญ่คุ้มกะลาหัวอยู่ ถ้าทำอะไรก็คงต้องปรึกษาผู้ใหญ่ให้แน่นอนก่อน และมันก็จะมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของกบมาก เพราะคุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) และคุณไพรัช สังวริบุตร เป็นผู้ใหญ่ที่ให้ชีวิตในวงการบันเทิง" กบกล่าว

ผู้ สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่จะออกจากวงการบันเทิงว่า เป็นเพราะอยากปิดฉากการเป็นนางเอกของตัวเองอย่างสวยงาม เนื่องจากช่อง 7 สี มีนางเอกหน้าใหม่เกิดขึ้นเยอะหรือไม่ กบกล่าวยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกัน และไม่ได้เบื่อหรืออิ่มกับงานละคร ตอนนี้ยังไม่ได้ฟันธง หรือคอนเฟิร์มว่าจะออกจากวงการบันเทิงอย่างจริงจัง เป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในความคิด อย่าเพิ่งตกใจ ยังทำงานอยู่ตรงนี้ อย่างไรก็ยังได้เห็นหน้าค่าหน้ากันอยู่

"เอาเป็นว่า อีกไม่นานเดี๋ยวทุกคนก็จะทราบคำตอบถึงเหตุผลที่อยากออกจากวงการบันเทิง ซึ่งเรื่องที่จะออกจากวงการบันเทิงมีปรึกษากับพี่บรู๊ค (ดนุพร ปุณณกันต์) ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของกบกับพี่บรู๊ค ก็ยอมรับว่าห่างกัน เพราะเป็นช่วงที่เราทำงานหนัก แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติสำหรับเรานะ ความสัมพันธ์ก็ยังปกติดี เพราะทุกอย่างยังเหมือนเดิม แค่ช่วงของชีวิตห่างกัน ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น ถ้ามีเมื่อไหร่ก็จะบอก ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ให้พี่บรู๊คพูดเองดีกว่า" นางเอกวิก 7 สีกล่าว

ส่วนเรื่องบาดหมางกับ นางดาริกา ปุณณกันต์ คุณแม่ของฝ่ายชาย เรื่องนี้ กบไม่ ยอมให้สัมภาษณ์ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และด้วยความที่ตนเป็นเด็ก ก็ไม่สมควรที่จะพูดด้วย เอาเป็นว่าอยากรู้เรื่องอะไรเพิ่มเติม ให้ไปถาม บรู๊ค - ดนุพร เอง เพราะจะดูมีน้ำหนักมากกว่าตน

" พูดจริงๆ นะ เรื่องกบกับพี่บรู๊ค กบไม่ได้ต้องการสร้างกระแสให้ตัวเองเลย กบเลยจุดนั้นมาแล้ว ไม่ได้เกี่ยวว่ากบต้องทำตัวเองให้ดัง เพื่อให้นักข่าวมาสนใจ เลยจุดนั้นมาแล้ว ซึ่งจุดนั้นมันเป็นจุดที่ยิ่งใหญ่สำหรับกบ แต่กบก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องมาตอบคำถามหรอกนะ เพราะมันไม่เป็นเรื่องจริง จึงไม่รู้สึกหนักใจ" กบ กล่าว

ที่มา:โดย คม ชัด ลึก วัน พุธ ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ปรุง...ต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด

ปรุง...ต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด
ou are what you eat คำกล่าวนี้ทำให้กระแสของการทำอาหาร สไตล์โฮมเมดเฟื่องฟูในยุคปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากความทันสมัยของวิทยาการที่สร้างสรรค์เครื่องครัวที่มี ประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมอาหาร แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเราสามารถคัดสรรสารอาหารจากวัตถุดิบได้อย่างมี คุณภาพ และปลอดภัยได้มากขึ้น การปรุงอาหารจึงเป็นเสมือนการจัดยาต่อต้านโรคร้ายที่แสนอร่อย และสนุกสนาน และถ้าคุณเป็นอีกคนที่ตระหนักในสุขอนามัยของสุขภาพที่ช่วยต้านพิษ และลดความเสี่ยงของการสะสมอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคร้ายอื่นๆ นี่คือไอเดียเก๋ๆ ตำรับ น.พ.สำราญ อาบสุวรรณ ผู้หายจากมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ WP ขอแนะนำให้สาวโฮมเมดหัดทำ



น้ำซุปโพแทสเซียม
สำหรับใช้เป็นน้ำแกงปรุงอาหาร



ส่วนผสม & เครื่องปรุง :
น้ำสะอาด 20 ลิตร
หอมใหญ่ 1/2 กก.
แครอทขนาดกลาง 1/2 กก.
มันฝรั่ง 1/2 กก.
หัวไชเท้า 1/2 กก. (จะใส่หรือไม่ก็ได้ บางคนบอกว่าจะไปล้างยา)


วิธีทำ : ต้มน้ำให้เดือด นำผักที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อต้มให้เดือด 15 นาที จากนั้นเคี่ยวไปประมาณ 2 ชั่วโมง ไฟกลางๆ เมื่อได้ที่แล้วทิ้งให้เย็น กรองเอากากออก นำน้ำซุปที่ได้แบ่งใส่ถุง แช่ช่องแข็งไว้ใช้ทำอาหารต่อไป


......................................................................

เมนูอาหารโฮมเมด ต้านมะเร็ง แกงเลียง



แกงเลียง


ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, หอมแดง, กระชาย, พริกไทยป่น, สาหร่าย,
(แผ่นกลมๆ ที่ใช้ใส่แกงจืด) ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น บวบ, ตำลึง ใบแมงลัก, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน, น้ำเต้า, ผักแม้ว, เป็นต้น ซีอิ๊วขาว


วิธีทำ : ตำหอมแดง กระชาย พริกไทยป่น สาหร่ายเข้าด้วยกัน หรือจะปั่นก็ได้ (ปั่นต้องใส่น้ำซุปลงไปด้วย) นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อละลายเครื่องแกงที่ตำไว้ ปิดฝา ตั้งไฟให้เดือด เมื่อได้ที่แล้วใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ชิมรส

......................................................................


เมนูอาหารโฮมเมด ต้านมะเร็ง แกงส้มผักรวม



แกงส้มผักรวม


ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงส้ม (ต้องไม่ใส่กะปิ), น้ำมะขาม, ซีอิ๊วขาว,
น้ำตาลโตนด, ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น ยอดมะพร้าว, ผักบุ้งไทย, กะหล่ำปลี, ดอกกระหล่ำ ฯลฯ


วิธีทำ : นำ น้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อ ละลายเครื่องแกงก่อนที่จะตั้งเตา (ถ้าละลายในน้ำเดือดจะจับตัวเป็นก้อน) ตั้งไฟให้เดือด ปรุงรสตามชอบ (ควรลดเค็มและหวาน) ใส่ผักลงไป ชิมรสอีกครั้ง เพราะน้ำในผักจะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปเล็กน้อย

......................................................................


เมนูอาหารโฮมเมด ต้านมะเร็ง ผัดผักรวมมิตร



ผัดผักรวมมิตร


ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, แครอทขนาดกลาง, ถั่วลันเตา, เห็ดหอม, ผักกาดขาว,
ข้าวโพดเมล็ด, กระเทียมหั่นแว่นพอประมาณ, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, เกลือโพแทสเซียมเล็กน้อย


วิธีทำ : คั่วกระเทียมให้หอม แล้วจึงใส่น้ำซุปโพแทสเซียมลงไปพอประมาณ ใส่ผักเตรียมไว้ (ใส่ผักสุกยากลงไปก่อน) ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและเกลือโพแทสเซียมเล็กน้อยเท่านั้น ปิดฝาให้ผักระอุสักครู่ ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน


......................................................................


เมนูอาหารโฮมเมด ต้านมะเร็ง แกงป่า



แกงป่า


ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำ ซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงป่า (ต้องไม่ใส่กะปิ), แครอทขนาดกลาง, ข้าวโพดอ่อน, มะเขือเปราะ, ชะอม, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, ใบกะเพรา, กระชายหั่นฝอย, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย


วิธีทำ : นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่กระทะผัดเครื่องแกงให้เข้ากัน ตั้งไฟให้เดือดปรุงรสตามชอบ ใส่ผักตามต้องการ แต่จะใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ชิมรส ตักใส่ชาม


......................................................................


เมนูอาหารโฮมเมด ต้านมะเร็ง ผัดมะเขือยาว



ผัดเผ็ดมะเขือยาว


ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม เครื่องแกงเผ็ด (ต้องไม่ใส่กะปิ), มะเขือยาว, มะกรูดหั่นฝอย ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, น้ำตาลโตนด, ลูกชิ้นเห็ดหอม (ถ้ามี)


วิธีทำ : นำ น้ำซุปโพแทสเซียมใส่กระทะผัดเครื่องแกงให้เข้ากันปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวเล็ก น้อย น้ำตาลโตนด ใส่มะเขือยาว ผัดให้เข้ากัน ปิดฝาให้มะเขือระอุสักครู่ เปิดฝา ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ชิมรส โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ตักใส่จาน

ที่มา:http://women.sanook.com/health/know_eat/knoweat_52703.php

Wednesday, November 12, 2008

อภิรักษ์ลาออกจากผู้ว่าฯกทม. ขอมีผลหลังพระราชพิธีเสร็จ

อภิรักษ์ แถลงลาออกจากผู้ว่าฯกทม.แล้ว หลังป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดีจัดซื้อจัดจ้างรถดับเพลิง ขอมีผล 19 พ.ย. หลังงานพระราชพิธีเสร็จ ด้านแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ิดัน กรณ์ ลงชิง เก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ขณะที่ พปช.พร้อมส่ง ประภัสร์ ลงแข่งอีกรอบ โกวิท รอเรื่องป.ป.ช. ก่อนลงดาบ อภิรักษ์ ด้านลีน่า ร้อง อภิรักษ์ ลาออก-จวก สุเมธ พูดเหมือนเด็ก

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 12พ.ย.นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. ได้แถลงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.หลังคณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลความผิดในคดี จัดซื้อจัดจ้างรถและเรือดับเพิลงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสมัยที่ตนเป็นผู้ว่าฯกทม.คราวที่แล้ว และเมื่อหมดวาระก็อาสาเข้ามาอีกและชาวกทม.ให้ความไว้วางใจอีก ดังนั้นขอให้ประชาชนทั้งประเทศว่าพรรคประชาธิปัตย์จะตั้งอยู่บนพื้นฐานการ เมืองอย่างชัดเจน

"และได้ปรึกษากับครอบครัวหัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ หลายคน ก็มีความเห็นแตกต่างหลายคน ผู้ใหญ่หลายคนแนะนำว่าการตัดสินทางกฎหมายที่ต้องการให้ยุติบทบาทการทำงานจึง เป็นทางเลือกหนึ่งทำได้และผมก็ได้ทำแล้ว

และก็มีเสียงเรียกต้องการ เห็น ผมพร้อมที่จะต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และเพื่อให้ไม่กระทบกับความรู้สึกของทุกคน และขอขอบคุณทุกคน และสมาชิกพรรคประชาธปัตย์ที่รณรงค์หาเสียงมา และประชาชน ขอโทษที่ทำให้เกิดความรู้สึกหลักจากมีการชี้มูลความผิด จึงขอลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยให้มีผลหลังจากงานพระราชพิธีเสร็จแล้วคือวันที่ 19 พ.ย." นายอภิรักษ์ กล่าว

ก่อน หน้านี้นายอภิรักษ์ได้กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองหลังทราบมติป.ป.ช.ว่า จะแถลงรายละเอียดวันนี้ (12พ.ย.) ด้านนายสุเทพ เทือสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ช็อกที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายอภิรักษ์ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนและไม่ได้เผื่อใจไว้ล่วงหน้า เพราะรู้เหมือนที่คนไทยทุกคนรู้ว่า ความคิดในการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง เกิดขึ้นก่อนที่นายอภิรักษ์จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. นายอภิรักษ์เข้ามาช่วงที่ต้องลงนามเปิดแอลซีเท่านั้น ซึ่งช่วงนั้นตนเป็นคนนำเรื่องไปปรึกษากับสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่ง และได้รับคำแนะนำว่านายอภิรักษ์จำเป็นต้องเปิดแอลซี เพราะหากไปยกเลิกสัญญาจะถูกฟ้องดำเนินคดีได้

นายสุเทพ กล่าวว่า พรรคยอมรับและเคารพดุลพินิจของป.ป.ช.ครั้งนี้ เพียงแต่โดยส่วนตัวยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า นายอภิรักษ์เป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากนี้คงต้องไปสู้ในชั้นศาลฎีกาฯ ส่วนนายอภิรักษ์นั้นไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง เพียงแต่ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวไว้เท่านั้น โดยให้มีผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ไปก่อน

แหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคได้วิเคราะห์ทางออกขณะนี้มีอยู่ 2 ทาง 1 นายอภิรักษ์อยู่ ในตำแหน่งต่อไป เพียงแต่หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ระหว่างรอการพิจารณาของศาลฎีกาฯ หรือว่าควรจะแสดงสปิริตด้วยการลาออกเพื่อให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯใหม่ ซึ่งพรรคก็ต้องหาบุคคลมาลงสมัครต่อไป แต่มีความเป็นไปได้ว่านายอภิรักษ์จะเลือกขอลาออกจากตำแหน่ง

ป.ป.ช.ส่งศาลรธน.ชี้พักงาน"อภิรักษ์"

ที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า การที่ป.ป.ช.ไม่มีการชี้มูลว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกทม.ต้อง หยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 55 ของพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)หรือไม่ ภายหลังจากถูกชี้มูลมีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย ทุจริต ในโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงของ กทม.

เนื่องจากป.ป.ช.ไม่มี หน้าที่ตัดสินเรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ มีหน้าที่เพียงการพิจารณาชี้มูลความผิดเท่านั้น เรื่องนี้คงต้องให้เป็นหน้าที่ของพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาของนายอภิรักษ์ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป

น. ส.สมลักษณ์ กล่าวด้วยว่า กรณีของนายอภิรักษ์เป็นการชี้มูลความผิดในสมัยที่เป็นผู้ว่าฯ กทม.สมัยแรก แต่ปัจจุบันนายอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยที่สอง ทำให้เกิดปัญหาการตีความว่า มีผลต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่ง ป.ป.ช.ไม่มีหน้าที่ตีความในประเด็นนี้ แต่ผู้มีหน้าที่โดยตรง คือ ศาลรัฐธรรมนูญ หากป.ป.ช.ไปตีความประเด็นดังกล่าวจะเป็นการก้าวก่ายการทำหน้าที่ขององค์กร อื่น

"โกวิท’รอเรื่องป.ป.ช. ก่อนลงดาบ ‘อภิรักษ์’

พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่ากากระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ตนยังไม่ได้การรายงานจาก ป.ป.ช. แต่ถ้าได้รับเรื่องมาแล้ว กระทรวงมหาดไทยต้องพิจารณาตามอำนาจหน้าที่อีกครั้ง ซึ่งข้อกฎหมายได้ระบุให้ปลัดกทม.รักษาการในตำแหน่งแทนถ้านายอภิรักษ์ประกาศ ลาออก ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ก็อาจมีการจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง

ส่วน สัญญากับบริษัท สไตเออร์ จะโมฆะหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ ป.ป.ช.พิจารณาว่ามีความผิดข้อใด ซึ่งตนและรมช.มหาดไทย ร่วมทั้งนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย จะช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้ว่าจะโมฆะหรือต้องดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทางแพ่งหรือไม่ ทั้งนี้ ถ้าได้รับเรื่องจากป.ป.ช.แล้วตนจะรีบดำเนินการและชี้แจงให้ทราบโดยเร็วที่ สุด

"วิชาญ”จี้สำนึกปชป.ชี้เป็นอุทาหรณ์เลือกคนโปร่งใสลงสมัคร

นาย วิชาญ มีนชัยนันท์ รมช.สาธารณสุข แกนนำกลุ่ม ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิดนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. ก็ไม่รู้ว่านายอภิรักษ์จะตัดสินใจอย่างไรในเวลา 15.00 น. แต่อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ทบทวนท่าทีของตัวเอง และนำคำวิพากษ์วิจารณ์รัฐมนตรีกรณีหวยบนดินมาดูว่าเคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง เพราะตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ออกมาเรียกร้องให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลาออก จากตำแหน่ง

นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่า กรณีของนายอภิรักษ์ก็จะเป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่งสำหรับการพิจารณาบุคคลที่จะมา ลงสมัครรับเลือกตั้งรับใช้คนกรุงเทพฯ ควรจะเคลียร์ตัวเองและต้องมีความโปร่งใส เพราะการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จึงไม่ควรเพิ่มภาระให้กับสังคม หากไม่มั่นใจในความโปร่งใสของตัวเอง อย่างไรก็ตามหากนายอภิรักษ์ลาออก ทางพรรคพลังประชาชนคงจะหารือกันว่าจะพิจารณาส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือจะส่งนายประภัสร์ จงสงวน ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง.

ร.ท.กุ เทพ ใสกระจ่าง รักษาการโฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงภายหลังการประชุม ถึงกรณีที่นายอภิรักษ์ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่า เรื่องนี้นายอภิรักษ์ต้องแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งทันที เพื่อสร้างบรรทัดฐานการเมืองใหม่ เหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเรียกร้องรัฐมนตรีที่ถูกคดีหวยบนดินให้แสดง ความรับผิดชอบ จะไปอ้างว่าอยู่ในช่วงเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนละสมัยไม่ได้ เพราะเป็นต่อเนื่องกัน

หากนายอภิรักษ์ลาออกจะ ต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ใหม่ พรรคพลังประชาชนจะให้โอกาสนายประภัสร์ จงสงวน ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง แม้ถูกวิจารณ์ว่าในพื้นที่ กทม.ฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนถูกทำลายไปเรื่อยๆ แต่การเลือกตั้งซ่อม ส.ก.เขตดินแดง คนของพรรคได้รับเลือกตั้งมาได้ แม้อยู่ในดงเสือที่มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในเขตดินแดงถึง 3 คน ดังนั้นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.จะทำให้การเมืองใน กทม.คึกคักอีกครั้ง

"ถ้านายอภิรักษ์ ไม่ลาออกจะกระทบต่อการบริหารงานของ กทม. โดยไม่รู้ว่าคดีนี้เมื่อสู่ชั้นศาลจะใช้เวลาเท่าไร และพรรคประชาธิปัตย์ต้องรับผิดชอบที่ส่งนายอภิรักษ์ลงผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ทั้งที่มีคดีนี้ติดตัวอยู่ ทำให้ชาว กทม.เสียโอกาส เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้วทำงานไม่ได้" ร.ท.กุเทพกล่าว

นาย ประภัสร์กล่าวว่า ทราบมาว่า นายสุเทพออกมาระบุว่า ถ้านายอภิรักษ์ยังไม่ถูกตัดสินลงโทษขั้นสุดท้าย ก็ยังไม่จำเป็นต้องลาออกจากตำแหน่ง เป็นการพูดสองมาตรฐาน เพราะครั้งหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์เคยพูดว่ามาตรฐานพรรคประชาธิปัตย์จะต้องมี สปิริต อีกทั้งยังได้สนับสนุนและเข้าข้างการเมืองใหม่ ดังนั้น นายอภิรักษ์ที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ก็ควรทำตัวเสียใหม่

เมื่อถาม ว่า พร้อมหรือไม่ที่จะลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง เพราะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชาชนพร้อมที่จะสนับสนุน นายประภัสร์ ตอบว่าขณะนี้กำลังมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าใต้ดิน แต่หากจำเป็นจะต้องลงสมัครอีกครั้ง คงต้องไปถามครอบครัว แต่เบื้องต้นตนพร้อมทำงานให้แก่ประเทศชาติ

แหล่งข่าวจากพรรคประชา ธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะพรรคได้วางตัวบุคคลที่จะลงสมัครตำแหน่งผู้ว่าฯ ไว้แล้ว 3 คน แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ส.ส.สัดส่วน กทม. ปฏิเสธที่จะลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็เหลือเพียง นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ประธานภาค กทม. และนายประกอบ จิรกิติ รองผู้ว่าฯ กทม.ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.สัดส่วน ของพรรคแต่แนวโน้มน่าจะเป็นนายกรณ์มากที่สุด เนื่องจากเป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นที่รู้จัก และมีบุคลิกเหมาะกับงาน ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่า นายอภิรักษ์จะประกาศลาออกเพื่อสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง และเพื่อรักษาคะแนนเสียงให้ของพรรค

นายกรณ์ กล่าวว่า เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิรักษ์ ต้องร่วมกันตัดสินใจ และต้องเป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าเมื่อป.ป.ช.ชี้มูลว่า มีความผิดก็ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ทันที การตัดสินใจใดๆก็ตาม พรรคคงต้องมีท่าทีที่ชัดเจน เนื่องจากพรรคก็เคยแสดงจุดยืนเมื่อตอนที่มีรัฐมนตรีถูกป.ป.ช.ชี้มูลความผิด มาแล้ว อย่างไรก็ตามถ้านายอภิรักษ์ตัดสินใจลาออก พรรคก็ต้องพิจารณาส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อีกครั้ง เชื่อว่าคน กทม.จะแยกแยะข้อเท็จจริง และให้การสนับสนุนพรรคอีกครั้ง

นางลีนา จังจรรยา
นางลีนา จังจรรยา


ลีน่า ร้อง อภิรักษ์ ลาออก-จวก สุเมธ พูดเหมือนเด็ก

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 12 พ.ย. นางลีนา จังจรรจา อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เดินทางมาสมทบกับกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 10 คน ที่ตะโกนขับไล่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. จากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเอกฉันท์ชี้ว่า นายอภิรักษ์ มีความตามผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กรณีสั่งเปิดแอลซี (L/C-Letter of Credit) คดีทุจริตการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร (กทม.)

ทั้งนี้ นางลีนา ในชุดสีชมพูที่ระบุว่าเป็นความหมายของความบริสุทธิ์และความรัก กล่าวว่า วันนี้ที่มาก็เพื่อสาปแช่งคนที่โกงชาติโกงแผ่นดิน โดยขอให้นายอภิรักษ์ โชว์ สปิริตด้วยการลาออก จนกว่าศาลฯจะตัดสินว่าบริสุทธิ์ค่อยกลับมาสมัครใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นเป็นผู้ว่าฯกทม. การมาในครั้งนี้ก็มาทวงสิทธิ์ และจุดธูป 9 ดอก สาปแช่งผู้ที่กระทำความผิดทั้งหมด 9 คน ติดคุก ตามที่กฎหมายบ้านเมืองบัญญัติ

เมื่อถามว่า หากนายอภิรักษ์ ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. นางลีนา จะกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ นางลีนา ยืนยันว่า ลงสมัครแน่นอน และจะลงสมัครทุกครั้งที่มีการรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.

" ขอฝาถึงนายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม เป็นถึงกกต. ทำไมพูดจาเหมือนเด็ก พูดได้อย่างไรว่าไม่ต้องการให้นายอภิรักษ์ลาออก เพื่อไม่ให้เสียงบประมาณเลือกตั้ง ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้นายอภิรักษ์และผู้กระทำผิดทั้งหมดคืนเงินให้แผ่นดิน 6,687 ล้านบาท ที่เสียค่าโง่ไป" นางลีนา กล่าว และว่า ยืนยันสโลแกนเดิม ผู้หญิงมีคุณธรรมมากกว่าชายต่อมความชั่วน้อยกว่าชาย และเน้นเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อย่างไรก็ตาม ตนเตรียมเดินทางไปพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ต่อไป เพื่อกดดันให้มีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นางลีนา ให้สัมภาษณ์เสร็จ ก็พยายามเข้ามาภายในศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยเรียกร้องขอปักธูป 9 ดอกในห้องผู้ว่ากทม. แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่อนุญาตให้เข้าไป นางลีนา จึงต้องปักธูปที่สนามหญ้าด้านข้าง

นอกจากนี้ นางลีนา ยัง กล่าวอีกว่า ขณะนี้เตรียมทำกระทงยักษ์ 3 กระทง ประกอบด้วย 1.กระทงคนไทยฆ่ากันเอง เป็นรูปของม็อบเสื้อแดงและเสื้อเหลือง 2.กระทงช่วงชิงอำนาจ เป็นรูปของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ 3.กระทงแตกแยกทางความคิด ทั้งนี้ ตนจะไปลอยกระทงยักษ์ที่สะพานพระราม 8 ในเวลา 17.00 น.

ข้อมูล : มติชน

แฉ อั้ม เฮิร์ตหนัก หลั่งน้ำตาเสียดาย ต๊อด

แฉ อั้ม เฮิร์ตหนัก หลั่งน้ำตาเสียดาย ต๊อด
ลือสนั่น นางเอกสาว อั้ม - พัชราภา เกิดอาการชอบชายชื่อ โน้ต ชอบซิ่ง แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดาย น้องต๊อด - ศิณะ ที่เผ่นออกจากอก ( ส่อแววกู่ไม่กลับซะด้วย ) งานนี้ถึงขั้นเฮิร์ตหนักอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน ถึงขั้นละเมอและปรับทุกข์กับเพื่อน

แฉ อั้ม เฮิร์ตหนัก หลั่งน้ำตาเสียดาย ต๊อด
แฉ อั้ม เฮิร์ตหนัก หลั่งน้ำตาเสียดาย ต๊อด


ถือว่าเป็นนางเอกสาวสุดเซ็กซี่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง สำหรับ อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกเบอร์หนึ่งของวิก 7 สี และหนึ่งในจำนวนเรื่องราวที่ อั้ม สาวเก่งยอดกตัญญูคนนี้ถูกจับตามองมากที่สุด คงไม่พ้นเรื่องรักตามประสาสาวพราวเสน่ห์

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากสังเกตจะเห็นได้ว่ามีหนุ่มๆ มารุมรักเธอ และเทกแคร์ อั้ม ไม่ขาดระยะ แต่เธอก็เลือกที่จะคบหนุ่มน้อยรุ่นน้อง ต๊อด - ศิณะ อุ่นทรพันธ์ ทายาท ไอที เป็นน้องที่สนิทควงกันไปไหนมาไหนด้วย ท่ามกลางกระแสครอบครัวของทั้ง 2 ฝ่ายไม่ปลื้ม แต่ อั้ม ก็ไม่ได้ซีเรียสจนดูเหมือนกับว่าช่วงหลังญาติฝั่ง อั้ม ระอาที่จะไปจุกจิกจึงเลิกใส่ใจ เหลือเพียงญาติฝ่าย ต๊อด ที่ยังมีข่าวออกมาเป็นระยะว่าแม่ไม่ปลื้ม พัชราภา แต่ว่าก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง น้องต๊อด กับ พี่อั้ม ต้องล้มละลาย

ทั้ง คู่ยังคงคบหากัน ต๊อด เองทำตัวเป็นเด็กในโอวาท ไม่ดื้อ ไม่ว่า แม้ พี่อั้ม จะตกเป็นข่าวกับหนุ่มคนใด รวมไปถึงไม่รับงานละคร ไม่เข้าวงการ มุ่งเรียนต่อ เพื่อเอาใจ อั้ม ที่ไม่ชอบให้น้องคนสนิททำงานในวงการ และให้ดูทัดเทียมกับนางเอกสาวรุ่นพี่ที่มีตำแหน่งเป็นถึงนางเอกสาวซูเปอร์ สตาร์ แถมฐานะทางการเงินก็ถือว่าเป็นนางเอกเศรษฐีนี เกรงใจและเอาใจกันขนาดนี้ หลายคนเลยคาดเดาว่าอนาคตรักของ อั้ม - ต๊อด น่าจะยาวไกล

แต่ไม่นานมานี้มีกระแสข่าวออกมาว่า ความ สัมพันธ์ที่ดีระหว่าง อั้ม - พัชราภา กับ ต๊อด - ศิณะ สะบั้นลง นับตั้งแต่วันนั้น วันที่ อั้ม ได้รู้จักหนุ่มนักซิ่งที่ชื่อ โน้ต ซึ่งทั้งคู่รู้จักกันตอนที่ไปเที่ยวฮ่องกง โดยการชักนำของนางเอกสาววิก 3 พระราม 4 เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ รายงานข่าวแจ้งว่า การที่ทั้งคู่ต้องห่างกันในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเมื่อก่อนนางเอกสาวจะเป็นฝ่ายชิ่งจากหนุ่มๆ ที่คบหาด้วย แต่ครั้งนี้ ต๊อด เป็นฝ่ายปลีกตัวออกห่าง ดูเหมือนกับว่าการห่างในครั้งนี้ หนุ่มน้อยจะใจแข็งเด็ดเดี่ยวมาก ไม่ยอมอ่อนข้อ ใจอ่อนเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา แถมปลีกตัวไปทำใจถึงเชียงใหม่

และ ด้วยความสนิทสนม ความผูกพัน ประกอบกับที่ผ่านมา ต๊อด ถือว่าเป็นคนที่แสนดี งานนี้แม้ อั้ม จะไปรู้จักทักทายกับหนุ่มนักซิ่งที่มาเทกแคร์เอาใจ แต่ก็มีกระแสข่าวลือว่าเธอลืม ต๊อด ไม่ลง ( คอ ) ถึงขั้นไปปรับทุกข์เรื่องนี้กับเพื่อนในผับดังฝั่งสวนลุม เกี่ยวกับกระแสข่าวลือดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อสอบถามไปยังแหล่งข่าวรายหนึ่ง ซึ่งได้รับการเปิดเผยว่า ช่วงนี้เท่าที่สังเกตเห็นจากภายนอก เห็นนางเอกสาวร่าเริง ส่วนภายในจิตใจจะเป็นอย่างไรนั้นไม่อาจจะทราบได้

... ปกติอั้มเขาเป็นคนร่าเริง ติดเพื่อนนะ ติดเกม โน่นนี่ไปตามประสา ถ้ามีเพื่อนแล้วเขาก็ไม่ค่อยทุกข์ ไม่ค่อยร้อนอะไรหรอก เพราะเวลาที่เขามีอะไรส่วนใหญ่เขาจะพูด เขาเป็นคนตรงไง เฮฮากันไป ส่วนเรื่องต๊อดนี่ไม่เห็นเขาพูดอะไรมาก และไม่มีใครกล้าถามด้วย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของอั้มเขา ... แหล่งข่าวกล่าว

ทีีมา:http://star.sanook.com/gossip/gossip_16758.php

วิจารณ์หนัง 007 Quantum of Solace

วิจารณ์หนัง 007 Quantum of Solace
007 Quantum of Solace
ภาพประกอบหนัง 007 Quantum of Solace
Quantum of Solace เดิน เรื่องต่อจาก เหตุการณ์ตอนจบของภาคก่อน เมื่อสายลับนายบอนด์ ได้ตามล้างตามเช็ด อีกหนึ่งศัตรูที่เดินเข้ามาขวางทางปืนของเขาอย่าง มิสเตอร์ไวท์ ได้เรียบยุทธ์ หลังจากนั้นอีกเพียง 20 นาที ( จากข้อมูลที่ได้รับมาในการอ่านเรื่องย่อ ) ก็บังเกิดมหกรรมการไล่ล่าทางรถยนต์ ที่ทำให้เราได้เห็นถึงความสาหัสสากรรจ์ เพียงน้ำจิ้มของ บอนด์ ในภาคใหม่ ที่จะมีอะไรให้ต้องบาดเจ็บ หรือกระทั่งปวดใจ กันอีกเยอะ

เรื่องราวในภาคนี้ จะเป็นการตามสืบไปถึงต้นตอขององค์กรที่ มิสเตอร์ไวท์ ได้บอกเอาไว้ว่า มันใหญ่ยักษ์ และมีคนอยู่มากมายในโลกที่อยู่ร่วมอาศัยในกลุ่มที่มีชื่อว่า ควอนตัม ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ระดับตัวเล็กๆ อย่างนกต่อ สายสืบ ที่แอบซ่อนอยู่อย่างลับๆตามที่ต่างๆ ลามไปถึงตัวบิ๊กๆ ที่มีทั้งนักบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม นักธุรกิจมือบริหารชั้นอ๋อง คนในแวดวงการเมือง การทหาร ตำรวจ ยันถึง ผู้มีอำนาจบารมีระดับโลก ที่คอยคุมหางเสืออยู่เป็นเบื้องหลังอีกต่างหาก

ภารกิจนี้ นอกจากบอนด์จะต้องเดินทางพลิกโลกไปล่าค้นหาความเป็นจริงขององค์กรล่องหนที่ MI6 ไม่เคยจะได้กลิ่น รู้รสชาติ มาก่อนแม้เพียงเศษผง ก็ถึงทีแห่งการสะสางชำระหนี้แค้น ที่เขาเคยมีสุมอกเป็นหนักหนา มาตั้งแต่เมื่อเขาได้รู้ว่า ถูกผู้หญิงแสนดีที่เขารักมากที่สุดอย่าง เวสเปอร์ ลินด์ หลอกใช้มาตลอด และงานนี้ เขายอมจะทำทุกอย่างที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แค่เพื่อให้รู้ว่า ใครกันแน่ที่ทำให้ เวสเปอร์ของเขา ต้องตกอยู่ในอันตรายได้ถึงเพียงนั้น

ปกติ แล้ว ตามธรรมเนียมของหนังชุด 007 อย่างที่เคยเป็นๆกันมาแต่ไหนแต่ไร คงจะเป็นที่รู้กันดีว่า สายลับเจ้าเสน่ห์เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวผู้นี้ มักจะมีคาแรกเตอร์สุขุม นุ่มลึก เอาไว้ฉาบหน้า แต่ก็มีหลายจังหวะจะโคนที่เราจะเห็นความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มต่อหน้าสาวๆ และกวนโอ้ยในทุกทีที่อยู่ต่อหน้าตัวร้าย

แต่ก็อย่างที่เคยเป็นมา คราวแต่ที่ เจมส์ บอนด์ ได้รับการปรับโฉมยกเครื่องใหม่ ที่พยายามเข้าใกล้อารมณ์ของปุถุชนคนเดินดินมากกว่าเดิมถึงที่สุดใน Casino Royale ก็ บังเกิดการพลิกบทประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ที่ทำให้ใครต่อใครมองว่า แฟรนไชส์เรื่องนี้ ยังจะมีลมหายใจได้อีกยาวนาน โดยไม่ต้องไปสนว่า การปรับเปลี่ยนที่ว่า กำลังจะทำเพื่อเดินตามรอย สายลับที่อายุอานามน้อยกว่าอย่าง เจสัน บอร์น ได้เคยสำเร็จมาหรือไม่

เมื่อ มาถึงภาคใหม่ที่ต้องกลับมาเดินรอยตาม ภาคก่อนที่สร้างเอาไว้แล้วสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยความปลาบปลื้มเสียมาก ก็เลยกลับกลายเป็นปมด้อย และเป็นประเด็นหลักที่มุ่งตรงไปสู่ความคาดหวังครั้งใหม่ ซึ่งน่าจะหยั่งรากลึกฝังเข้าไปถึงความพอใจของคนดูได้มากกว่าคราวที่ใครต่อ ใครหลายคน เคยยี้ ว่ามันไม่น่าจะใช่อ่ะ กิ๊ฟ

ยิ่งในงานนี้ ชื่อของ แดเนียล เครก ก็ได้กลายเป็นภาพจำซ้อนทับตัวตายของคาแรกเตอร์ เจมส์ บอนด์ ซึ่งยังเคยมีดารานับเป็นเลข 5 เป็นตัวแทนกันมาก่อนด้วยอย่างนี้แล้ว ..มันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น แฟน จะรู้ึสึกกับภาคนี้ในแง่ดีมาแต่ต้น และวาดฝันว่ามันจะต้องเป็นหนัง เจมส์ บอนด์ ที่ดีแน่ๆ

แต่ถ้า เจมส์ บอนด์ เรื่องที่ว่า นี้ จะไม่มี ประโยคไม้ตายเด็ดๆอย่าง My name is Bond, James Bond จะไม่มีการพูดสั่ง ว้อดก้า มาร์ตินี่ สูตรเขย่า ไม่คน อันคุ้นหู (แต่ก็ยังมีให้กิน) และไม่ถือธรรมเนียมของฉากเปิดที่ต้องเริ่มด้วยการยิงปืนใส่หน้าคนดู (หากก็ไม่ต้องใจหายไป มันยังมี เพียงแต่งวดนี้มาแปลกไป) แล้วหนังเรื่องนี้ มันจะใช่ เจมส์ บอนด์ ในความวาดฝันของแฟนๆ ได้จริงหรือ?

การเข้ามาเป็นครั้งแรก ในการทำหนังสกุลบอนด์ ของผู้กำกับฝีมือคุณภาพในหนังหลากแนวอย่าง Finding Neverland Stranger than Fiction ถึงล่าสุดกับ The Kite Runner ชื่อของ มาร์ก ฟอสเตอร์ อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักในตอนแรก เมื่อมองว่าเขายังเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำหนังทุนสูง สเกลยักษ์ ..ยิ่งมามองว่า มันเป็นหนังที่อยู่ในความคาดหวังระดับสูง ของคอหนังแอ๊คชั่น-สายลับเช่นนี้ด้วยแล้ว ก็เหมือนว่ายังน่าจะมี ผู้กำกับที่เข้มข้นในฝืมือคนอื่นๆ มารับหน้าเสื่อดูแลต่อที่ดีกว่านี้ได้อีก

007 Quantum of Solace
ภาพประกอบหนัง 007 Quantum of Solace
แต่ มันก็ได้กลับกลายเป็นที่ต้องยอมรับว่า คิดถูก ในทันทีทันใดที่ใครต่อใครได้ดูหนังตัวอย่าง แล้วก็จะได้เห็นว่ามันยังมีทั้งความยิ่งใหญ่ในฟอร์มงานสร้างตามแบบฉบับของ หนังสกุลบอนด์ ยืนยัน นั่งยันไปถึงเรื่องของอารมณ์หนังที่ต่อยอดความหลังจากภาคก่อนได้อย่างน่า สนใจดีแท้ไม่น่าผิดหวัง ที่ให้ ฟอสเตอร์ มาคุมงานเช่นนี้

หากแต่ถ้า หนังตัวอย่าง นั้นนับเป็นเรื่องของความประทับใจแต่แรกเจอแล้วละก็ เห็นท่าว่าคงทำเอาใครต่อใครบางคนที่เคยคิดหวังไว้มากว่ามันจะน่าโดนใจสุดๆ เห็นทีต้องบ่นอุบว่า ผิดหวัง และเสียดาย เป็นแน่ เมื่อในหนนี้ สายเลือดแห่งความเป็นบอนด์ ของ Quantum of Solace กลับจะมีความเข้มและข้นน้อยกว่ากับอีก 21 ตอนที่ผ่านพ้นมา

แต่ สำหรับผมที่(ถือว่าเป็นแฟนหนังบอนด์ กับเขาคนหนึ่ง) ได้รู้อยู่แล้วว่า หนังภาคใหม่ในที่นี้จะมีจุดประสงค์อันใดเป็นสำคัญในการนำเสนอ ก็เลยคิดถึงจุดที่เคยเป็นที่ชอบใจของแฟนทั่วๆไป ไว้น้อยเอาอย่างมาก หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่หวั่นคาดหวังอะไรในยิบย่อย นอกจากการจะดูว่ามันเป็นหนังแอ๊คชั่นอีกเรื่องที่เจตนาจะเน้นขายความมันส์ กันสุดกู่ เหนือสิ่งอื่นใด

และด้วยเหตุฉะนี้แล้ว Quantum of Solace จึง ได้สามารถทำหน้าที่ของการเป็นหนังแอ๊คชั่นที่ดี สำหรับผม เมื่อมันสามารถนำพาเวลา 107 นาทีที่แสนจะสั้น(ในหนังบอนด์ที่มักจะยืดกว่านี้ได้อีก) ให้กลายเป็นเรื่องของความสนุกขนาดยาว ที่แน่นเอี้ยดไปด้วยความตื่นเต้น เร้าระทึก และชวนให้ร้อนใจ อยากจะรู้ตอนจบของเรื่องราวในเร็วนาที

ส่วนของเหตุการณ์ที่ถูกนำมาต่อความยาวสาวความใหม่ในภาคนี้ ถูกทำการเล่าเรื่องออกมาได้ไม่ยืดเยื้อเท่ากับเมื่อคราวของ Casino Royale ที่ต้องการจะปูพิ้นความเป็นมาของ สายลับ 007 เมื่อครั้งยังเป็นมือใหม่ อีกทั้งปมประเด็นที่ค้างคาในภาคก่อนหน้านั้น

ก็มาพร้อมกับความตั้งใจและเจตนาที่ให้คนดูได้เห็นว่า เจมส์ บอนด์ อึด ถึก และพรั่งพร้อมไปด้วยความบ้าเสียแค่ไหน เมื่อเขาต้องเคลียร์กับความรู้สึกเก่าๆที่ฝังในให้ใจเจ็บ และพบพากับเหตุการณ์ความผิดพลาดที่กลายเป็นสิ่งที่ต้องพาลจดจำไปถึงวันตาย อันที่จะนำมาซึ่งการปรับตัวเองให้กลายเป็น เจมส์ บอนด์ ตัวจริงเสียงแท้ที่เราเคยคุ้นมานานเนิ่นในภาคต่อๆไปนี่เอง

ฉะนั้น แล้ว หากสิ่งที่เห็นในตอนตื้น จะทำให้ต้องเพียรบอกกับตัวเองว่า มันไม่ได้พยายามจะรักษาธรรมเนียมภาพจำของหนังสกุลบอนด์ อันพึงปฏิบัติสืบมา แต่ถ้าลงเจาะลึกกันไปถึงรายละเอียดเนื้อในกันจริงๆ ของเหตุการณ์ และจิตใจ ก็จะพบว่า Quantum of Solace ได้เข้าใกล้ความเป็นบอนด์ มากไปกว่าภาคที่แล้วเสียซะอีก

ไม่่ ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ขันที่ชัดเจน ในความกรุ้มกริ่ม ปนๆกวนโอ้ย มากขึ้น มีห้วงความสุขุมที่เด่นกว่าเก่า ที่ถึงจะยังคงสภาพอีโก้อยู่สูง แต่ก็ทำให้เราเห็นภาพของสายลับที่ดื้อเงียบ มากกว่าจะดื้อด้านในคราวภาคก่อน รวมไปถึง พัฒนาการของความรู้สึกในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจ ที่มีให้เห็นกันทั้ง ยังคงบุ่มบ่ามไร้เหตุไร้ผล ไปจนถึงช่วงท้ายที่เรารู้ว่า เขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราต้องแน่ใจว่าคุ้นเคยยิ่งๆขึ้น

หนัง ภาคนี้ อาจจะต้องใช้สมาธิในการติดตามอยู่ค่อนข้างสูง เพราะตัวหนังเดินเรื่องบู๊ดาหน้าลุยเต็มสปีด ไม่มัวมาสนใจในการทำอารมณ์ใดๆให้มากเข้า (เพราะจะว่าไป ภาคที่แล้ว ก็เอื้อเวลาให้พี่บอนด์ แกได้ทำใจ ให้เกิดอารมณ์แค้นมามากอยู่) มิเช่นนั้น ถ้าจะรู้สึกว่ามันขาดหายในความเป็นดรามาไปก็ขอให้หวั่นได้ แต่อย่าไปคิดมาก

007 Quantum of Solace
ภาพประกอบหนัง 007 Quantum of Solace
เพราะ ถึงอย่างไรแล้ว เรื่องของความแค้น มันก็ไม่ได้มีเหตุมีผลอะไรที่จะต้องหาเวลามาเคลียร์เรื่องของอารมณ์กันอยู่ แล้ว เอาแค่ให้ตัวละครตัวนั้น ต้องมาจมปลักกับหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่ต้องอยู่เหนือความรับผิดชอบผู้ คนปุถุชนทั่วๆไป ในห้วงเวลาที่เพิ่งสูญเสียหัวใจให้กับใครคนหนึ่งที่เพิ่งหยุดหายใจไปแหม่บๆ มันก็หนักหนามากมายที่ จะอธิบายความหมายของคำว่า เจ็บปวด ได้สมบูรณ์แบบไปแล้ว

ทีมเขียนบทหนังที่ได้ยกทีมเดิมทั้งดุ้นจาก Casino Royale มา ว่าความกันต่อในภาคใหม่ ยังคงทำหน้าที่ของการเล่าเรื่องในแบบฉบับของพวกเขา(และปัจจุบันบังคับ)ได้ สนุก แม้จะไม่ได้เรียกว่า สมบูรณ์แบบ ไปซะทีเดียว เพราะเรื่องบางเรื่องก็ดูจะมีความผิดพลาดในมุมของความเป็นไปได้ให้เราเห็น

แต่ กับการรักษาความสมจริงของพฤติกรรมและอารมณ์มนุษย์ตามทำนองที่เคยเป็น บวกด้วยการใส่ลูกเล่นใหม่ๆ ที่จับเอาแพะมาชนแกะ ให้กลายเป็นเรื่องของ ควอนตัม ซึ่งยังจะขมวดเล่าได้ยาวอีกหลายภาคนั้น ก็ผสมรวมกลายเป็นเสน่ห์ ที่ทำให้หนังภาคนี้มีอะไรให้เราได้คิดต่อยอดเมื่อหนังจบ แม้จะต้องทำใจว่าบางอย่างยังไม่เคลียร์ในการดูรอบแรก แต่เมื่อยิ่งได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในหนังมากเท่าไหร่ ก็อาจจะค่อยๆปะติดปะต่อได้เอง หรือบางทีกับบางคนก็อาจจะมีการพี่งพารอบสอง(ขึ้นไป) เพื่อช่วยเพิ่มความแน่ใจได้เป็นปลิดทิ้ง

ในส่วนที่เป็นความฉลาดของบท อาจจะมีให้เราพอลุ้นๆในการแก้เงื่อนกลที่ซับซ้อนขององค์กรที่เป็นปริศนาได้ บ้าง ( ซึ่งน่าจะแก้ได้มันส์กว่านี้ในภาคต่อๆไป ) แต่ที่เป็นสิ่งปลักหลัก ทำให้ผมใส่ใจในภาคนี้ อย่างการเป็นหนังแอ๊คชั่น ในภาคใหม่ ได้อัดเต็มเนื้อกว่าภาคก่อน และแน่นไปด้วยความมันส์อย่างเต็มอิ่ม โดยก็ยังมีพื้นของความรู้สึกแฝงปนเข้ามาไม่มาก แต่ก็เป็นไปตามสมควร เมื่อหนังเรื่องนี้ถูกกำกับโดยผู้กำกับที่เก่งกาจในการควบคุมนักแสดง อย่าง ฟอสเตอร์

ขณะเมื่อตราบใดที่แรงไม่หมดสิ้น และพี่บอนด์ก็ยังคงจะต้องดาวดิ้น พลุ่งพล่านไปด้วยน้ำโห พร้อมๆกับสายตามาดมุ่งที่พร้อมจะฆ่าคนทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาได้ตลอดเวลา นั่นก็จะนำพามาซึ่ง ฉากแอ๊คชั่นทั้งเล็กและใหญ่ ที่จัดใส่กันมาไม่หวาดไม่ไหว ให้คนดูได้แต่เหนื่อยแทนพี่บอนด์ที่ต้องเจออะไรหนักๆหนาๆขนาดนี้ตลอดเวลา

ข้อ กล่าวหาที่มีคนบอกว่า อะไรต่อมิอะไรในหนังภาคนี้ได้ลอก กับอีกหนึ่งหนังสายลับรุ่นน้องอย่าง บอร์น มาเลียนในที่นี้แล้ว ผมกลับไม่รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นแต่อย่างใด หากมันจะเป็นก็แค่ เจมส์ บอนด์ ในเวอร์ชั่นที่ อึด ถึก บ้า และขี้เกียจจะประนีประนอมกว่าที่ผ่านๆมาเสียซะมากกว่า

แต่ ถึงต่อให้จะมีข้อแม้อื่นใดนอกจากนั้น มาพาดพิงบอกกล่าวว่าหนังเรื่องนี้ น่าผิดหวัง มีเรื่องให้เสียดาย หรือกระทั่งไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น จากปากคำของใครก็ตามทีแล้ว ก็เห็นท่าว่าอย่างหนึ่ง ที่ทุกคนคงจะคิดเหมือนๆกัน โดยพร้อมเพรียง ไม่ผิดเพี้ยนไป ก็คือ การแสดงเป็น เจมส์ บอนด์ ครั้งที่ 2 ของ แดเนียล เครก ที่ยังคงให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมเหมือนเดิม

แม้ ตัวละครบอนด์จะมีพัฒนาการของการเป็นสายลับที่เชี่ยวสนามมากขึ้นในภาคนี้ แต่คนที่เป็นเจ้าของบทบาท ก็ยังคงได้รักษาจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ในเบื้องหน้าของสุภาพบุรุษพยัคฆ์ ร้าย สมกับที่เคยได้ชื่นชม(เกินกว่าจะคาดหวังไว้) มาแต่หนก่อน

007 Quantum of Solace
ภาพประกอบหนัง 007 Quantum of Solace
ส่วน กับตัวละครของคนอื่นๆแล้ว ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี สมพร้อมตามที่บทหวังจะให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่า ( ที่ซ้ำกว่าพี่บอนด์เสียอีก ) เจ้าป้า จูดี้ เดนซ์ กับการเป็น M ที่สมเกียรติและสนุกกับการปรากฎบนจอบ่อยขึ้น ไปจนถึงหน้าใหม่ กับสาวบอนด์ตัวจริง (ที่เป็นผู้หญิงของผู้ชายจากเกมคอมฯ กับ Hitman หรือ Max Payne ก็ไม่รุ่งซะเลย) โอลก้า คูรีเรนโก้ ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ที่เธอยังไม่โดนพี่บอนด์เจิม ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หรือสาวบอนด์(ตัวเทียม ) เจมมา อาร์เทอตัน ที่แอ๊บใส ซื่อ บริสุทธิ์ ถูกเปคพี่บอนด์ แต่ทำได้แค่โดนเจิมเพียงสิวๆ

และ แมธธิว อมัลลิก ใช้สายตาได้คุ้มมาก ( ถ้าใครเคยได้ดู The Diving Bell and the Butterfly จะรู้สรรพคุณข้อนี้เป็นอย่างดีและยอดเยี่ยม ) กับการเป็นตัวร้ายที่มีมิติเพียงน้อยมุม แต่ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเต็มที่สุดๆกับการเป็นคู่ปรับของพี่บอนด์อย่าง เพียงพอแล้ว ( แม้จะไม่ได้เข้าใกล้คำว่า ผู้ร้ายของหนังบอนด์ที่คลาสสิค เลยซะทีเดียวก็ตามที )

Quantum of Solace เมื่อพี่บอนด์เขารักมาก และแค้นมาก อย่างไม่ต้องหาสาเหตุอื่นใดมานั่งเทียนเล่าอ้างที่จะต้องพร่ำพรรณนาว่าจะเอา คืนให้จบ ผมก็ได้พบกับหนังสายลับที่มันส์มั่ก..มากกกกกกกก ที่ไม่จำเป็นจะคาดหวังอะไรในเรื่องของธรรมเนียมที่ควรเป็นของหนังบอนด์ เพราะถ้าให้ติดใจในจุดเล็กจุดน้อยที่ต้องมี ผมก็คงคิดว่า ภาคต่อของบอนด์ฉบับตีความใหม่ ในงานนี้ ช่างน่าผิดหวัง

แม้โดยส่วนตัวจะยังคงเหมือนคนอื่นๆ ที่ชอบภาคนี้น้อยกว่า Casino Royale อัน ลุ่มลึกกว่าในทุกด้าน แต่ในเรื่องของความสนุก เน้นบันเทิง ถือว่า คุ้มค่าเต็มอิ่ม กับการทำมันออกมาเป็นหนังแอ๊คชั่น เกิดมาลุย เช่นนี้ ถ้าใครเป็นแฟนบอนด์ ก็ควรจะได้ดู แต่อย่าไปหวังถึงความเป็นบอนด์อย่างเคยๆเป็นหนักหนา ส่วนคนที่เป็นแฟนพันธุ์ทาง ผู้ชื่นชอบหนังดูเอามันส์ เป็นหลักใหญ่ สมดังใจคิดแน่นอน

ที่มา:http://movie.sanook.com/review/review_14832.php