Tuesday, April 28, 2009

ลดน้ำหนักด้วยวิธีไหน? เจ๋งกว่ากัน

ลดน้ำหนักด้วยวิธีไหน? เจ๋งกว่ากัน
ผลการวิจัยระบุว่า ความสำเร็จของโปรแกรมลดน้ำหนักในระยะยาวส่วนใหญ่ต้องอาศัยการออกกำลังกาย เข้า มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะในความเป็นจริงคนที่อดอาหารเพียงอย่างเดียว แม้น้ำหนักจะลด แต่วันหนึ่งคนเหล่านั้นก็จะกลับมาอ้วนอีก หรือบางครั้งอาจจะอ้วนกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้างั้นวิธีที่ดีที่สุด คืออะไร

ออกกำลังกาย



วันนี้ จะชวนคุณไปสู่ทางเลือกใหม่ เพื่อการลดน้ำหนักที่เห็นผล ที่นอกจากจะรวดเร็วแล้วยังช่วยให้คุณมีสุขภาพดีอีกด้วย และนี่คือ 4 เหตุผลว่าทำไมคุณจึงควรออกกำลังกายไปควบคู่กับการอดอาหาร


1.การออกกำลังกายช่วยเสริมการทำงานในระบบเมตตาบอลิซึ่มของคุณ
การ ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือการออกกำลังกาย จะช่วยเปลี่ยนแปลงพลังงานหรือเพิ่มระสิทธิภาพในการทำงานของระบบเมตาบอลิซึ่ม ในร่างกายของคุณให้สมดุล


2.หลักการเผาผลาญพลังงาน
ตาม สูตรแล้ว ไขมัน1ปอนด์ เท่ากับ 3,500 แคลลอรี่ ซึ่งตามปกติร่างกายของคุณสามารถกำจัดแคลลอรี่ได้วันละ 500 แคล ดังนั้นหากคุณต้องการลดไขมันในร่างกาย 1 ปอนด์ หมายความว่าคุณต้องใช้เวลา 1 สัปดาห์ด้วยกัน ดังนั้นเพื่อย่นเวลาการเผาผลาญ จะดีกว่ามั้ย ถ้าคุณจะช่วยร่างกายกำจัดแคลลอรี่ด้วยการออกกำลังกายไปควบคู่กัน ที่สำคัญการควบคุมอาหารยังทำให้กระบวนการเมตาบอลิซึ่มในร่างกายของคุณมี ประสิทธิภาพลดลง


3.การทำกิจกรรมหนึ่งจะส่งผลให้เกิดการทำกิจกรรมที่มากขึ้นไปอีก
จากผลการวิจัยระบุว่า คนที่ออกกำลังกายจะทำให้คนนั้นกระฉับกระเฉงไปตลอดทั้งวัน


4. การออกกำลังกายช่วยสร้างกล้ามเนื้อ
คุณ สามารถเพิ่มจำนวนและขนาดของกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกาย ทั้งนี้บางครั้งเรายังได้รับไฟเบอร์จากอาหารเพื่อใช้ในการสร้างกล้ามเนื้อ และเพื่อที่จะให้ไฟเบอร์ในกล้ามเนื้อได้รับการหล่อเลี้ยง ร่างกายจะไปดึงแคลลอรี่จากไขมันที้เก็บไว้ในร่างกาย ดังนั้นถ้าคุณต้องการให้ร่างกายเผาผลาญไขมันมากขึ้น คุณก็ต้องใช้พลังงานมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าไหร่ แคลลอรี่ในร่างกายของคุณก็จะถูกเผาผลาญมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าน้ำหนักตัวของคุณจะลดลงได้เร็วขึ้น

ข้อมูลจาก Gabrielle Reece

ทักษิณแถลงรบ.โยนความผิดหนุนรุนแรง

ทักษิณ ออกแถลงการณ์อ้างรัฐบาลโยนความผิดกล่าวหาอยู่เบื้องหลังความรุนแรงของเสื้อ แดง ยันเคารพสันติวิธี เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน เรียกร้องเสื้อแดงผนึกกำลังเรียกคืน ปชต. นครบาลปล่อยตัวชั่วคราว แรมโบ้อิสาน พร้อมกำชับไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับม็อบ ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและ และห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 28 เม.ย. ได้รับการติดต่อจากทีมงานนายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยแจ้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เขียนคำแถลงการณ์ถึงจุดยืนแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อมาชี้แจง โดยส่งางอีเมลล์ให้กับสื่อทีวีและนสพ.บางฉบับ โดยระบุว่า

"แถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
"การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยสันติวิธี"

ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยและกลไกของรัฐบาล ได้พยายามที่จะโยนความผิดให้ผมสำหรับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระหว่างการ ประท้วงในทางการเมืองในประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้ ยิ่งกว่านั้น ผมถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมว่าเป็นผู้สนับสนุนและเห็นด้วยกับการใช้ความ รุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง

ก่อนอื่น ผมขอปฎิเสธข้อกล่าวหาข้างต้นอย่างสิ้นเชิง ตลอดชีวิตของผม ผมเคารพในสันติวิธี เสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ผมทำในสิ่งที่ผมพูด แม้ว่าผมได้ให้กำลังใจกระบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยนี้ตลอดหลายสัปดาห์ที่ ผ่านมา ผมได้เรียกร้องให้พี่น้องประชาชนชาวไทยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยผ่านทางวิดีโอ และทางโทรศัพท์ ผมได้ย้ำตลอดมาว่า การรเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยนี้ต้องป็นไปด้วยสันติและกระบวนการ ต่อสู้ของประชาชนจะไม่ใช้ความรุนแรง พี่น้องประชาชนนับหมื่นนับแสนได้ตอบสนองข้อเรียกร้องและได้พากันชุมนุม ประท้วงอย่างสงบและสันติเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อเรียกร้องให้ประชาธิปไตย ที่แท้จริงกลับคืนมาสู่ประเทศไทย

ผมขอเรียนย้ำต่อพี่น้องชาวไทยว่าการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของ เราจะต้องไม่ใช้วิถีของความรุนแรง ผมไม่สามารถสนับสนุนการใช้ความรุนแรง ผมขอพูดอย่างชัดเจนว่า เราจะไม่ใช้อาวุธในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย เราต้องสร้างอนาคตของพวกเราผ่านความเข้มแข็งทางความคิดและหลักการอันถูกต้อง ของพวกเรา และพวกเราต้องอดทนและวางเฉยต่อการยั่วยุต่างๆจากทางภาครัฐ

ผมขอเรียกร้องให้คนไทยที่รักสันติทุกคนให้ผนึกกำลังเพื่อบรรลุถึงความ ปรองดองของคนในชาติและประชาธิปไตยที่แท้จริง ตามที่ผมเคยพูดไว้เราได้ถอยหลังจากการเผชิญหน้าไปหนึ่งก้าว และเราจะไม่ยอมยุติการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยของไทย แม้เราถูกหยุดยั้งโดยภาครัฐงานของพวกเราก็จะไม่หยุด เพราะเราเชื่อมั่นว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้นคือการต่อสู้เพื่อสิ่ง ที่ถูกต้อง และในท้ายที่สุดนี้ ผมมีความมั่นใจว่าพลังของพี่น้องประชาชนจะต้องชนะและมีชัยด้วยแนวทางสันติ

ทักษิณ ชินวัตร
28 เมษายน 2552"

"สุริยะใส"เชื่อทักษิณอาจพึ่งฝ่ายซ้ายบางกลุ่มมากขึ้น

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่ม นปช. โดย พ.ต.ท.ทักษิณ จะแปรขบวนการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะการปรับบทบาทส่วนนำด้วยการสร้างแกนนำคนอื่นๆ ขึ้นมาแทนแกนนำ นปช.ชุดเดิม ซึ่งกำลังตกเป็นจำเลยของสังคมกรณีการก่อจราจล และมีความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจใช้ฝ่ายซ้ายเก่าที่อยู่แวดล้อมตัวเองเข้ามามีบทบาทในส่วนนำของ นปช.และเครือข่ายทักษิณมากขึ้น

เพราะต้องไม่ลืมว่าบนความผิดพลาดและพ่ายแพ้ในการเคลื่อนไหวก่อจราจลของ นปช.ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นชัยชนะของฝ่ายซ้ายบางกลุ่มที่ใช้กระแสทักษิณนิยมและการเคลื่อนไหวของ นปช.เป็น เครื่องมือเพื่อโจมตีสถาบันเบื้องสูงและระบอบอำมาตยาธิปไตยภายใต้ทฤษฎีชี้นำ ทุนก้าวหน้าดีกว่าศักดินาล้าหลัง ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับกันว่าอย่างน้อยฝ่ายซ้ายกลุ่มนี้ก็สามารถปักธงเปิด ประเด็นยึดกุมพื้นที่สาธารณะได้มาก

นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า แต่ในบรรดาฝ่ายซ้ายรอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีแนวทางขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายซ้ายดั้งเดิมที่นิยมความรุนแรง กับฝ่ายซ้ายแนวปฏิรูปที่พยายามเข้ามาต่อสู้ในแนวทางรัฐสภาและสันติวิธี เพราะในทางสากลกระแสฝ่ายซ้ายแนวปฏิรูปขึ้นมาบนดินและละทิ้งแนวทางความรุนแรง หมดแล้ว มีการตั้งพรรคการเมืองแนวสังคมนิยมจนได้รับชัยชนะและเป็นรัฐบาลในหลายๆ ประเทศ เช่น แถบละตินอเมริกาอย่างบราซิล อุรุกวัย โคลัมเบีย โบลิเวีย หรือแม้แต่ในแถบยุโรปอย่างสเปนและเยอรมัน

นครบาลปล่อยตัวชั่วคราว"แรมโบ้อิสาน"

เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 28 เม.ย. พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงการสอบสวนดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่ม นปช.ที่ บุกรุกเข้าไปในกระทรวงมหาดไทยและเข้าทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรักฐมนตรี และดำเนินคดีตามความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองภายหลังผู้ต้องหาทั้ง 4 คนประกอบด้วยนายสุพร อัตถาวงศ์ นายสิรวิชญ์ พิมพ์กลาง นายพีระ หลิ้งกลาง และนายณรงค์ศักดิ์ มณี หรือเป๋คลองเตยเข้ามอบตัวสู้คดี ว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งสอบปากคำผู้ต้องหาอย่างละเอียด โดยใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมง

จากนั้นทนายความผู้ต้องหาได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยและหลักทรัพย์วงเงิน 5 แสนบาทยื่นประกันตัวนายสิรวิชญ์ นายพีระและนายณรงค์ศักดิ์ พนักงานสอบสวนพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวและปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไข 3 ข้อคือ 1.ห้ามมิให้กระทำการใดๆที่เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการรวบ รวมพยานหลักฐานในสำนวนคดี 2.ห้ามมิให้ผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและ 3.ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร

โฆษกนครบาล กล่าวต่อว่า ในส่วนของนายสุพร ซึ่งถูกดำเนินคดี 3 ข้อหาคือ มั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไปประทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ในบ้านเมืองโดยเป็นหัวหน้าหรือผู้สั่งการ ข้อหาร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และข้อหาชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่ 5 คน โดยฝ่าฝืนข้อกำหนด (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)ตาม มาตรา 9 ข้อ 1 และมาตรา 18 นั้นทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์เงินสด 4 แสนบาทพร้อมตำแหน่ง ส.ส.ของนายประเสร็ฐ จันทรรวงทอง ประกันตัวไปโดยมีเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราว 3 ข้อห้ามดังกล่าว จากนั้นทั้งหมดได้ออกจากห้องสอบสวนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสท่ามกลางเสียง ปรบมือของผู้ชุมนุมที่มาให้กำลังใจอยู่ด้านล่างพร้อมมอบช่อดอกไม้แสดงความ ยินดีก่อนที่ทั้งหมดจะเดินกลับ

ส.ส."สุนัย"เอาตำแหน่งประกันตัว2แกนนำเสื้อแดง

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 28 เม.ย.ที่สภ.เมืองเชียงใหม่ แกนนำเสื้อแดง 2 ราย คือนายมานะ พันธุ์ไพบูลย์ หรือดีเจ ป.เป็ด และนายไพบูลย์ ชูชัย หรือดีเจลุงบุญ ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ หลังตกเป็น 2 ใน 5 ผู้ต้องหาซึ่งถูกตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ขออนุมัติศาลออกหมายจับเลขที่ จ.230/2552 ลงวันที่ 21 เม.ย.2552 ในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิ ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกำหมายแผ่นดิน, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปกระการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง, หยุดหรือจอดรถในลักษณะที่ไม่ปลอดภัยและเป็นการกีดขวางการจราจร

สำหรับการเดินทางเข้ามอบตัวครั้งนี้มีนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.ช่วยประกันตัวให้ผู้ต้องหาทั้งสอง ซึ่งตำรวจกำหนดวงเงินประกันตัวไว้ที่รายละ 1 แสนบาท ระหว่างการยื่นขอประกันตัวมีสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 30 คน เดินทางมาให้กำลังใจนำดอกมะลิมาคล้องให้กำลังใจแก่แกนนำเสื้อแดงทั้งสองราย

นายสุนัย กล่าวว่า ตนเป็น ส.ส.นครสวรรค์ แต่ที่ต้องใช้ตำแหน่งมาช่วยประกันตัวแกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ เนื่องจากผู้ต้องหาได้ร้องขอไปที่พรรคว่าไม่มีเงินทองกันต้องไปวิ่งเช่าโฉนด ที่ดินตนเลยยอมมาช่วย

ส่วนการแจ้งดำเนินคดี หรือออกหมายจับแกนนำเสื้อแดงนั้น ตนไม่เคยคิดที่จะตำหนิตำรวจ เพียงแต่มองว่าหากประชาชนเดือดร้อนก็จะช่วยเหลือเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด เกินไปในสังคม และมองว่ากรณีที่เกิดขึ้นถ้าหากเสื้อเหลืองถูกดำเนินคดีบ้างก็จะดีเพราะไม่ อยากให้เกิดความเคียดแค้นทางสังคมหากใช้มาตรฐานเดียวกันในการจัดการสังคมก็ จะปรองดอง

ด้านพ.ต.ท.สวัสดิ์ หล้ากาศ รองผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า คดีดังกล่าวก่อนหน้านี้มีประธานกลุ่มสี่ล้อแดงและแกนนำเสื้อแดงซึ่ง เป็นนักจัดรายการวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงถูกออก หมายจับรวมกัน 5 คน หากรวมสองรายนี้ถือว่าเข้ามอบตัวแล้วทั้งสิ้น 4 คน คือนายสิงห์คำ นันติ ประธานสหกรณ์นครเดินรถล้านนา จำกัด(สี่ล้อแดง) นายนายธานิน ประดิษฐพันธ์หรือดีเจยุ้ย และตามด้วยวันนี้คือนายมานะพันธุ์และนายไพบูลย์ตามลำดับ

ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้ามามอบตัวคือนายสุพล ศุภางคะรัตน์หรือดีเจที่ใช้ชื่อว่าอาจารย์สุรพล ซึ่งขณะนี้ได้มีการแจ้งประสานติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ว่าจะเข้ามอบตัวเร็ว ๆนี้ โดยอ้างว่ายังติดภาระกิจอยู่ระหว่างไปทำธุรกิจที่ส.ป.ป.ลาว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในคดีเดียวกันนี้ล่าสุดตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้เตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 1 รายคือ"ดีเจหนึ่ง"ซึ่งเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานชัดเจนในการร่วมปลุกระดมมวล ชนเข้าร่วมปิดถนนผ่านรายการวิทยุและพบว่า "ดีเจหนึ่ง"ยังคงทำหน้าที่เป็นนักจัดรายการอยู่วิทยุชุมชนคลื่น 92.5 เมกกะเฮิรตซ์ของคนเสื้อแดงอยู่ทุกวัน แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบชื่อจริงซึ่งจะได้ติดตามตัวมารับทราบข้อกล่าวหาและ เตรียมออกหมายจับเร็ว ๆนี้

กกต.เตรียมฟัน "บุญจง" พุธหน้า

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า ในที่ประชุม กกต.นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าได้รับผลสรุปการสืบสวนสอบสวนจากคณะอนุกรรม การฯ กรณีนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย แจกเบี้ยยังชีพแนบนามบัตร ซึ่งประธาน กกต.ได้เปิดซองสำนวนในที่ประชุมพร้อมทั้งได้ถ่ายเอกสารแจกให้กับ กกต. ทุกคน และนัดพิจารณาในวันที่ 6 พ.ค. ที่จะถึงนี้

เลขาฯกฤษฎีกาบอกกม.คุมม็อบเกิดยาก

นางพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ถึงความคืบหน้าการพิจารณายกร่างพ.ร.บ.การควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ.... ว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รอการส่งเรื่องมาอย่างเป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หลังจากที่ครม.ได้มีความเห็นได้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปยกร่าง อย่างไรก็ตามระหว่างนี้ได้มีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการยกร่างโดยเอาต้น แบบจากประเทศต่างๆ มาพิจารณาเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสังคมไทย ดังนันจึงต้องมีการปรึกษาการบังคับใช้ได้จริงในหลาย ประเทศ เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงในการยกร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว คือการทำให้กฎหมายมีสภาพการบังคับใช้ได้จริง เหมาะสมกับวิถีชีวิตคนไทย และต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพด้วย

นางพรทิพย์ กล่าวว่า ดังนั้นจะต้องการพิจารณาอย่างรอบด้านเนื่องจากกฎหมายดังกล่าวเหมือนกับเป็น ดาบสองคม ที่อาจจะกระทบสิทธิในการชุมนุมของประชาชน ส่วนกรณีทางตำรวจต้องการเร่งรัดให้กฎหมายนี้ผ่านโดยเร็วนั้น ก็เข้าใจเพราะต้องการให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีข้อโต้แย้งจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก คงต้องมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างหลากหลาย อาจใช้รูปแบบเปิดเว็บไซต์ให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แสดงความคิด เห็นเข้ามา โดยไม่จำเป็นต้องทำประชาพิจารณ์

"ส่วนตัวเห็นว่า การมีกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้เป็นเรื่องยาก ไม่ใช่เรื่องง่าย และทางรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีการเร่งรัด แต่เมื่อได้รับร่างอย่างเป็นทางการมาแล้วก็พร้อมที่จะดำเนินการให้เร็วที่ สุด" นางพรทิพย์ ระบุ

"อภิสิทธิ์"เชื่อเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ต้องการความรุนแรง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกรณีที่มีข่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการข่าวกรองแหงชาติ(ศปข.) สำนักนายกรัฐมนตรี มีการสรุปแนวโน้มสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า จะมีการขยายมวลชนและเคลื่อนไหว ในลักษณะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ว่า ในที่ประชุม ครม.ไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ แต่ได้มีการรับทราบมติคณะกรรมการประสานงาน 3 ฝ่ายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหา และรับทราบการทำงานของคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ของรัฐบาล ซึ่งจะทำงานต่อไป เพื่อให้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงเหล่านั้น

เมื่อถามว่า มีข่าวว่า จะมีการจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อาจจะมีแนวคิดของบางคนซึ่งได้มีการแสดงออกอย่างเปิดเผย แต่เขาเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ คงจะไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า มีคนจำนวนหนึ่ง ที่อาจจะมีความคิดไปในทางที่รุนแรง แต่เขามั่นใจว่า ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานของสังคมไทย และประเด็นที่กลุ่มผู้ชุมนุมให้ความสำคัญนั้น ขณะนี้ กลไกของรัฐสภา และรัฐบาลกำลังเดินหน้าสะสางอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุดนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำนปช.ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า จะมีการจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า เรื่องนี้ ก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่า แนวคิดที่จะไม่เคารพกฎหมาย และใช้ความรุนแรงมีอยู่ชัดเจนและมีอยู่จริง และมีบางคนเปิดเผยแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแน่นอน เราจะต้องดำเนินการต่อไป

เมื่อถามว่า คิดว่า กลุ่มคนเสื้อแดง จะขยายมวลชนออกไปหรือไม่ นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า เขาเห็นผู้ชุมนุมและแกนนำบางส่วน ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ยึดถือแนวทางนี้

เมื่อถามว่า แกนนำส่วนใหญ่ ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ในยุค 6 ตุลาฯ คิดว่าจะมีปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เท่าที่ฟังแกนนำให้สัมภาษณ์ขณะนี้ ไม่ได้ยึดแนวทางความรุนแรง


http://news.sanook.com/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%9A.%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-699021.html

Friday, April 17, 2009

เรื่องของนายก"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน!

1. นักเรียนอีตัน บัณฑิตออกซ์ฟอร์ด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2507 ที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ เรียนชั้นประถมฯ ที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เรียนชั้นมัธยมฯ ที่อีตัน และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยเป็นคนไทยคนที่ 3 ที่ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 จากนั้นก็เรียนต่อที่เดิมจนจบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ นอกจากนี้ ยังได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขานิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีก ด้วย อนึ่ง หลังจากจบระดับปริญญาตรีจากออกซ์ฟอร์ด เขาได้ไปเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เขาชะโงก จังหวัดนครนายก อยู่เกือบ 2 ปีจนได้รับพระราชทานยศเป็น ร้อยตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนี่คือเหตุที่เขาไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ก็ยังถูกโจมตีว่า "หนีทหาร" จากฝ่ายตรงข้ามจนถึงทุกวันนี้

2. ทีมฟุตบอลในดวงใจ

เพราะ เกิดที่เมืองนิวคาสเซิลละกระมัง ทำให้ทีมฟุตบอลในดวงใจตลอดกาลของนายอภิสิทธิ์คือทีมสาลิกาดง นิวคาสเชิล และกีฬาสุดโปรดของเขาก็คือ ฟุตบอล!

3. อนุรักษ์นิยมไทย

ถึง แม้จะเกิดและเรียนที่เมืองนอกเป็นเวลาหลายสิบปี แต่นายอภิสิทธิ์ไม่นิยมการพูดไทยคำอังกฤษคำ แม้แต่ตัวเลข เขายังเขียนเป็นตัวเลขไทยทุกครั้ง

4. ร็อค-เพื่อชีวิต

เห็น ท่าทางสุภาพๆ เนี้ยบๆ แบบนี้ แต่แนวดนตรีโปรดของนายอภิสิทธิ์คือเพลง Rock ทุกครั้งที่มีการแสดงคอนเสิร์ตร็อคในประเทศไทย นายอภิสิทธิ์จะต้องหาโอกาสไปโยกในคอนเสิร์ตทุกครั้ง โดยวงดนตรีที่เขาชอบมากคือ R.E.M. กับ U2 เล่ากันว่าเวลานั่งอยู่ในรถ เขามักจะหยิบวอล์กแมนขึ้นมาฟังเพลงร็อคพร้อมกับโยกตัวไปตามเพลงแทบทุกครั้ง บางครั้งก็ร้องออกมาดังๆ (ไม่น่าเชื่อใช่ไหม) แต่ถ้าเป็นเพลงไทยละก็ เขาชอบเพลงเพื่อชีวิต ทุกครั้งที่ถูกขอให้ร้องเพลงบนเวที เพลงของพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ กับพงษ์เทพ กระโดนชำนาญคือเพลงหากินของนายกฯ คนที่ 27 คนนี้

5. เมนูโปรด-ไม่ปลื้ม

อาหารจาน โปรดของนายกฯ มาร์ค คือ ข้าวไข่เจียว แต่ที่ไม่ปลื้ม เอาเสียเลยก็คือ "แตงโม" ยกเว้นก็แต่แตงโมที่หมายถึงภรรยาของเขา อาจารย์แตงโม-พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (อิอิ) ทุกเช้าหลังตื่นนอนตอนตีห้าครึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำเป็นประจำสม่ำเสมอคือการชงกาแฟให้คุณแตงโม และยังทำอยู่จนถึงทุกวันนี้ (หวานจริงๆ)

6. นามสกุลพระราชทาน

เวช ชาชีวะ (Vejjajiva) เป็นนามสกุลพระราชทาน [เวช (ยา) + อาชีวะ (อาชีพ)] ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 พระราชทานลงมาเป็นลำดับที่ 4,881 จากทั้งหมด 6,423 นามสกุล เหตุที่มีคำว่า "เวช" ก็เพราะมีต้นตระกูลเป็นหมอ ได้แก่รองอำมาตย์ตรีหลง (บุตรของนายจิ๊นแสง) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดลพบุรี ส่วนบรรพบุรุษดั้งเดิมนั้นเป็นชาวจีนโพ้นทะเล ที่ล่องเรือมาตั้งรกรากใหม่บนแผ่นดินสยาม โดยมาขึ้นฝั่งที่จังหวัดจันทบุรี

7. โรคภัยไข้เจ็บ

แม้บิดาจะเป็นหมอ (นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เช่นเดียวกับมารดา (พญ.สดใส เวชชาชีวะ) แต่คนหนุ่มวัย 44 ย่าง 45 ปี อย่างคุณอภิสิทธิ์ก็ไม่วายมีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัว นั่นคือ "เกาต์"

8. เดี่ยว-โดด-เด่น

คุณ อภิสิทธิ์สนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก เขาเคยเป็นสมาชิกยุวประชาธิปัตย์มาก่อน หลังเรียนจบและผ่านการสอนหนังสือมาระยะหนึ่ง คุณอภิสิทธิ์ได้รับฉันทานุมัติจากพรรคประชาธิปัตย์ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2535 ในเขต 6 กรุงเทพมหานคร ตอนนั้นเขาอายุแค่ 27 ปี และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนั้นเพียงคนเดียวของ พรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากพื้นที่ กทม. กำลังอยู่ในช่วงกระแส "จำลองฟีเวอร์" เวลานั้นคุณอภิสิทธิ์ได้ชื่อว่าเป็น ส.ส.ที่อายุน้อยที่สุดในสภา!

มีคนเข้าใจว่า คุณมาร์คเป็นนายกฯ ที่หนุ่มที่สุดที่ประเทศไทยเคยมี แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ นายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดคือ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ในปี 2488 ด้วยอายุเพียง 40 ปี ส่วนนายกฯที่เด็กรองลงมาก็คือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ ในปี 2481 ตอนอายุ 41 ปี

9. รับโทรศัพท์

คุณ อภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่มีชื่อเสียงเพียงไม่กี่คนที่รับ โทรศัพท์ด้วยตนเอง ยกเว้นปัจจุบันที่มีนายศิริโชค โสภา คอยช่วยรับ และได้ฟังโทรศัพท์ด่าทอและข่มขู่มาแล้วหลายสาย!

10. แรงบันดาลใจ

คุณ อภิสิทธิ์อยากเป็นนักการเมืองตั้งแต่อายุ 9 ขวบ แรงบันดาลใจที่สำคัญของเขาคือความรู้สึกสะเทือนใจขณะติดตามข่าวเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทางโทรทัศน์

"มันเกิดอารมณ์สะเทือนใจ และเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาว่า เอ๊ะ! จริงๆบ้านเมืองมันเป็นของเราทุกคนนะ เราเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทาย อยากเข้ามาทำงานทางการเมืองบ้าง" เขาบอก

http://webboard.campus.sanook.com/forum/2760518_%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81_quot_%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0_quot__%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%88.html

สนธิ รอดพักฟื้นไอซียู ตร.คาดปมขัดแย้งกม.

คณะแพทย์ได้ทำการผ่าตัดนายสนธิเสร็จแล้ว เมื่อเวลา 11.10 น. อาการปลอดภัย คนไข้รู้สึกตัวดี สามารถพูดคุยได้ ตร.เร่งถกตาม ตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป

เมื่อ เวลา 12.00 น.ที่ผานมา ( 17 เม.ย.) นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิรพยาบาล แถลงผลการผ่าตัดรักษานายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บาดเจ็บหลังถูกลอบยิงด้วยอาวุธสงครามว่า คณะแพทย์ได้ทำการผ่าตัดนายสนธิเสร็จ แล้ว เมื่อเวลา 11.10 น. โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเอาเศษกะโหลกศีรษะที่แตกออก รวมทั้งเอาเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองออก ก่อนที่จะเย็บแผลปิดตามเดิม โดยใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งนายสนธิ ฟื้นตัวดี พูดคุยได้รู้เรื่อง อาการปลอดภัย ทั้งนี้ คาดว่าจะต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกไม่กี่วันก็สามารถกลับบ้านได้ ขณะนี้คนไข้พักฟื้นอาการที่ห้องไอซียู ชั้น 4 ตึกศัลยกรรม

ทั้งนี้เมื่อเวลา 11.10 น. ตั้ว-ศรัญญู วงศ์กระจ่าง และ น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางมาเยี่ยมอาการนายสนธิ อย่าง ไรก็ตาม แพทย์ยังสั่งงดเยี่ยม ต่อมา นายวัศยศ งามขำ รองเลขาธิการฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำกระเช้าดอกไม้เยี่ยมอาการนายสนธิ ในฐานะสื่อมวลชนด้วยกัน โดยมีนายศรัญญู เป็นผู้รับมอบแทน

ขณะที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรียกประชุมชุดสืบสวนในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 เพื่อวางแนวทางการสืบสวนเพื่อคลี่คลายเหตุลอบสังหาร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รายละเอียดและรู้แล้วว่าคดีเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยคนร้ายมีจำนวนมากกว่า 4 คน และมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนสงคราม ส่วนชนวนลอบสังหารพุ่งเป้าไปที่ 2 ประเด็น คือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายสนธิ และเรื่องส่วนตัว โดยคนร้ายหวังเอาชีวิตนายสนธิ

ด้าน พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล ระบุ 3 ประเด็นลอบสังหารนายสนธิ ทั้งประเด็นการเมือง ความขัดแย้งทางธุรกิจ และเรื่องส่วนตัว ที่เกิดเหตุนอกจากเก็บปลอกกระสุนปืนสงครามได้แล้ว ยังพบระเบิดเอ็ม 79 ที่ยังไม่ทำงาน 1 ลูก ส่วนการติดตามมือปืนอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นกลุ่มใด และกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่าสามารถบันทึกภาพขณะเกิดเหตุไว้ได้หรือไม่ จากพยานในที่เกิดเหตุ ยืนยันคนร้ายใช้รถกระบะโตโยต้าวีโก้ สีบรอนซ์ทอง ขับหลบหนีไปทางถนนเทเวศร์ ส่วนรายละเอียดป้ายทะเบียนอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่ม และหลังเกิดเหตุได้ส่งกำลังไปที่โรงพยาลวชิระ และที่ทำงาน ส่วนแกนนำคนอื่นหากพบความผิดปกติก็จะส่งกำลังไปอารักขาเช่นกัน.


http://news.sanook.com/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B4-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9F%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B9-%E0%B8%95%E0%B8%A3.%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A1-648811.html

พธม.ฉุนสนธิถูกยิงถล่ม จี้นายกฯโละทหาร-ตร.

ปล่อยให้มีการพกพาอาวุธสงครามเข้ามาในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน สมเกียรติ ชี้นายกฯ ต้องแสดงภาวะผู้นำ ไม่เช่นนั้น ครม.ก็จะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน

วันนี้ (17 เม.ย.) ตามที่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โดยคนร้ายใช้อาวุสงครามยิงถล่มรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ด สีดำ หมายเลขทะเบียน วล 89 กรุงเทพมหานคร บริเวณหน้าวัดเอี่ยมวรนุช แขวงสามพระยา เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อเวลา 05.30 น.นั้น ทันทีที่เกิดเหตุทางแกนนำพันธมิตรฯ ได้เรียกประชุมด่วน ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2

ล่าสุด นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ กล่าว ว่า สถานการณ์ขณะนี้บ่งบอกว่า การจัดตั้งกองกำลังถูกลดส่วนลงจากการชุมนุมใหญ่ เป็นระดับกองโจร และอาศัยวิธีจรยุทธ์ คือการเดินทางไปเพื่อกำหนดเป้าหมายแต่ละครั้งเป็นจุดๆ นับเป็นการทำสงครามรูปแบบใหม่ ที่จะไม่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อฟัง ความปลอดภัยในประเทศนี้หามีไม่ เพราะว่ารัฐบาลได้ใช้อำนาจสูงสุดที่มีอยู่ ด้วยการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนได้ แสดงว่าจะต้องมีกลไกอะไรบ้างอย่างที่ไม่ทำงาน หรือทำงานอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล

นาย สมเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์กับทางกลุ่มแกนนำฯ คาดว่ากลไกของรัฐในส่วนของตำรวจ และทหารบางกลุ่มไม่ทำงาน และอาจจะรวมตัวเป็นปฏิบัติต่อภาคประชาชน โดยตั้งข้อสังเกต 2 ข้อ คือ 1. การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ตำรวจ และทหารยืนอยู่ทุกสี่แยก แต่ไม่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ปล่อยให้มีการนำพาอาวุธสงครามผ่านไปได้ และกล้องวงจรปิดตรงที่เกิดเหตุเสีย ไม่เห็นภาพปรากฏเลย นั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการใช้อำนาจสูงสุดของรัฐสิ้นสภาพ และ 2. สถานการณ์ขณะนี้เป้าหมายของศัตรูของประชาชน และศัตรูของประเทศชาติ ได้มุ่งทำลายรัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทำลายทั้งภาพลักษณ์ที่โดเด่นในสายตาของประเทศ ด้วยการล้มการประชุมอาเซียน +3 และ+6 ทำลายโดยจัดวางความรุนแรงมาใส่ตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อจัดการรัฐบาลเสร็จ ก็พุ่งเป้ามาจัดการพันธมิตรฯ การจัดวางที่ถูกออกแบบมาเป็นลำดับขั้น ทำให้เห็นว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ประสบภาวะเดียวกันกับรัฐบาล

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มว่า จึงขอเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในกลไกของรัฐ โดย สนับสนุนภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ ใช้ ภาวะผู้นำ และอำนาจสูงสุด ในการเปลี่ยนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปลี่ยนผู้บัญชาการเหล่าทัพบางเหล่าทัพ และเปลี่ยนศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ เปลี่ยนกลไกและองค์กรเกี่ยวกับด้านความมั่นคงทั้งหมดของรัฐ ไม่เช่นนั้น นายกฯ และ ครม. ก็จะเอาตัวไม่รอดเช่นกัน และเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ พี่น้องประชาชน จะรวมกันฝ่าข้ามวิกฤติการณ์นี้ การจัดคอนเสิร์ตกลางเมืองพรุ่งนี้ (18 เม.ย.) ที่จังหวัดภูเก็ต ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิม และวันที่ 25 เม.ย. คอนเสิร์ตกลางเมือง ที่จังหวัดระยอง โดยยืนยันว่าไม่มีอำนาจใดมาขัดขวางได้

ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า พันธมิตรฯยัง ไม่ปักใจเชื่อว่าใครอยู่เบื้องหลัง หรือสั่งการ ให้เวลารัฐบาลหาคนที่เกี่ยวข้อง แต่มีข้อสังเกตุอาจเกี่ยวกับอำนาจรัฐบางกลุ่ม เป็นคนในเครื่องแบบ ขอเรียกร้องนายกฯ อย่างชะล่าใจ ต้องเร่งรัดดำเนินการหาตัวคนลอบสังหารนายสนธิ ขณะเดียวกัน นายกฯ ต้องจัดระเบียบกลไกรัฐ โดยเฉพาะ สตช. การล้มอาเซียน ที่พัทยา การก่อจลาจลในเมืองหลวง ท่านจะนิ่งนอนใจไม่ได้

"เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนภาพการเมืองระบบเก่า ถูกคุกคามแต่ไม่มีความคืบหน้าในการหาคนกระทำผิดมาดำเนินการ" นาย สุริยะใส กล่าว และว่า พี่น้องพันธมิตรฯ อย่าหวั่นไหว รอความคืบหน้าจากแกนนำฯ ความคืบหน้าที่เกี่ยวกับการลอบสังหารนายสนธิ นายกฯ ต้องให้หลักประกันว่า จะไม่มีใครเป็นเหยื่ออีก

ส่วนนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า ตนมองเป็นสถานการณ์การต่อสู้ทางการเมือง พร้อม ขอให้นายกฯ แสดงความเป็นผู้นำ หากมุ่งหวังพัฒนาประชาธิปไตยสร้างการเมืองใหม่ ต้องจัดการกลไกอำนาจรัฐให้ได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ นายสนธิ ถูกลอบฆ่าโดยทหารไม่รับรู้ ส่วนอำนาจรัฐที่ซ้อนรัฐอยู่ คือแก๊งค์มาเฟียอยู่ในสังคมไทย วันนี้หากการสอบสวนไม่สามารถหาคนทำผิดมาได้ แสดงว่า ผบ.ทบ.ไม่ร่วมมือกับนายกฯ ผบ.ตร.ไม่ร่วมมือกับนายกฯ หาก ไม่กล้าตัดสินการตายของผู้นำภาคประชาชนจะมีอีกหลายคน ตนพร้อมให้การสนับสนุนนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่าพันธมิตรฯ พร้อมร่วมมือในการแก้ไขวิกฤติของประเทศชาติครั้งนี้

ขณะ ที่นายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรรุ่นที่ 2 กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่พัทยา และกรุงเทพฯ ว่า มีเบื้องลึกเบื้องหลัง เป็นเกมเพื่อล้มรัฐบาล มีการหวังว่า หากล้มนายสนธิได้ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ต้องสิ้นชีพ และหวังผลว่า นายสนธิดับไปพันธมิตรฯ ต้องอ่อนกำลังลง ไม่สลายก็เหมือนสลาย ซึ่งเขาก็คิดผิด ผลพลอยได้ คือการสั่นคลอนสเถียรภาพรัฐบาล หลายฝ่ายทั้งกลุ่มที่มาขับไล่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หน้าทำเนียบฯ ส่วนหนึ่งต้องการล้มรัฐบาล ล้มด้วยรูปแบบต่างๆ เป็นต้น นัดเดียวหวังยกอย่างน้อย 4 ตัว

" ถึงเวลาที่นายกฯ ได้อดทนถูกทุบถูกตี มา 2-3 รอบจะได้แสดงภาวะผู้นำเด็ดเดี่ยว แต่อย่าปล่อยให้ถูกกระทำมากๆ ผมให้กำลังใจและฝ่าข้ามวิกฤติตรงนี้ไปให้ได้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใช้เต็มกำลังแล้วก็ได้แค่นี้ ต้องกระชับอำนาจ" นายสำราญ กล่าว และว่า ต่อคดีนายสนธิ ต้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)มาดูแล แต่ต้องเปลี่ยนตัวอธิบดีดีเอสไอ ตนไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่คิดว่าเพื่อความสบายใจ โล่งโปร่ง

Thursday, April 2, 2009

แพง เตือน ชัญญ่า ใครดีไม่ดี เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

แพง ฟลุค


แพง หนุนคำ ฟลุค ด่าเตือน ชัญญ่า ร้ายระวังเวรกรรม (สยามดารา)

ความ ลับแตก "ชัญญ่า ทามาดะ" ถูกแฉหมดเปลือก จัดฉากกับทุกๆ เรื่อง เพื่อเกาะกระแส "ฟลุค-เกริกพล" ดัง ด้าน "แพง-ขวัญข้าว" เสริมทัพ "ชัญญ่า" ร้ายกว่าที่คิด...เคลียร์ข่าว "น้องอชิ" เรียกแม่ แอบกระซิบพี่ๆ นักข่าวว่าเร็วๆ นี้ หนุ่มฟลุคเตรียมทุ่มงบไม่อั้น ปิดผับจัดงานวันเกิดให้ ในวันที่ 11 เมษายนนี้

เรียกว่าผ่านมรสุมข่าวมาด้วยกันแบบกระหน่ำสุดๆ ไปเลย สำหรับคู่รักที่มักตกเป็นข่าวฉาวอยู่บ่อยๆ อย่าง "ฟลุค-เกริกพล มัสยวาณิช" กับ "แพง-ขวัญข้าว เศวตวิมล" ซึ่งล่าสุดดูเหมือนว่าทั้งคู่กำลังจะผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไปได้ด้วยดี แถมล่าสุดหนุ่มฟลุคยังใจป้ำทุ่มงบไม่อั้นปิดร้านอาหารย่านเจริญกรุง เลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 27 ปี ในวันที่ 11 เมษายนนี้ เป็นของขวัญให้กับสาวแพง โดยเชิญทั้งเพื่อนๆ ในวงการ, นอกวงการ รวมถึงพี่ๆ นักข่าวอีกด้วย

ทั้ง นี้ผู้สื่อข่าวมีโอกาสเจอหน้าสาวแพงในงาน Central Toys&Games Fair 2009 ที่เซ็นทรัล ชิดลม เมื่อวันก่อนเลยถือโอกาสนี้ถามถึงข่าวคราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มีคนออกมาแฉว่า "ชัญญ่า" คู่กรณีของหนุ่มฟลุคเป็นคนจัดฉากกับทุกเรื่อง เพราะอยากดังและสร้างกระแสให้กับตัวเอง, มีข่าวว่าล่าสุดน้องอชิเรียกสาวแพงว่าแม่แล้ว ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ สาวแพงเคลียร์ให้ฟังชัดๆ ดังนี้

แพง : เรื่องที่พี่ฟลุคปิดร้านเลี้ยงวันเกิดเหรอ คือจริงๆ แล้วตั้งใจอยากจะชวนพี่ๆ น้องๆ มารวมถึงพี่ๆ ที่ทำข่าวให้เราก็รู้สึกว่าพี่ๆ ที่ทำข่าวเรามาทุกคนเป็นเหมือนพี่น้องเป็นเหมือนเพื่อนแพงด้วยมีความรู้สึก ว่าน่าจะชวนมาทุกๆ คน เรื่องนี้พี่ฟลุคเป็นคนต้นคิดทั้งหมดเลย เพราะว่าเราก็รู้สึกผูกพันกันมานาน อยากให้พี่ๆ ได้เอนเตอร์เทน ไม่ต้องมาซีเรียสบ้างไม่ต้องมาทำข่าวบ้างให้มาสนุกๆ กัน ถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญก็คงอยากได้ความสบายใจค่ะ เจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะแล้ว ก็ขอเจอเรื่องดีๆ บ้าง และที่พี่ฟลุคจัดงานนี้ให้นั้น ก็คงเป็นเพราะเห็นแพงเจอเรื่องร้ายๆ มา ก็อยากให้แพงสบายใจบ้างเลยจัดให้ค่ะ ก็รู้สึกดีที่เค้าทำแต่สิ่งดีๆ ให้ไม่ทำร้ายเรา ก็รู้สึกดีเสมอค่ะ

จากนั้นผู้ สื่อข่าวถามถึงประเด็นที่ว่า ตอนนี้มีข่าวแว่วมาว่าสาวแพงสนิทกับน้องอชิมากๆ ถึงขั้นที่น้องอชิเรียกสาวแพงว่าแม่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้สาวแพงตอบแบบเขินๆ ว่่า

แพง : ไม่ขนาดนั้น อย่าสิอายุแค่นี้เอง ไม่ขนาดนั้นค่ะ

ต่อคำถามถึงประเด็นร้อนๆ ที่ว่าตอนนี้มีคนออกมาแฉถึงสาวชัญญ่า เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมด รวมถึงภาพหลุดที่หนุ่มฟลุคไปนั่งกินหมูกระทะกับสาวชัญญ่านั้น จริงๆ แล้วสาวชัญญ่าเป็นคนจัดฉากเองและจ้างคนไปถ่ายรูปเองเพื่อเกาะกระแสหนุ่มฟลุค ดัง เกี่ยวกับเรื่องนี้สาวแพงชี้แจงให้ฟังว่า

แพง : ความ เห็นแพงคือแพงตอบไปแล้ว ตั้งแต่ตอนแรก และแพงบอกกับพี่ๆ แล้วว่าแพงจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ความเห็นส่วนตัวแพงคือใครทำอะไร ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเห็นค่ะ วันเวลาเป็นสิ่งที่จะบอกเราว่าใครมีความจริงใจแค่ไหน เค้าจริงใจกับประชาชนหรือกับสื่อมวลชนแค่ไหนคือแพงเป็นกลางมาก ทุกอย่างจะต้องเห็น ความจริงจะต้องปรากฏค่ะ แพงขอไม่พูดเรื่องนี้ แพงพูดแล้วว่าแพงไม่อยากพูด มันพูดแล้วเสียความรู้สึกค่ะ แล้วเดี๋ยวก็เห็นกันเอง ใครเป็นคนดีเราเห็นใครทำไม่ดีเราเห็นค่ะ ซึ่งแพงไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้และเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ก็ถ้าเกิดว่าสมมตินะ มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นจริงแพงว่าไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ขนาดนี้ค่ะ ไม่คิดว่าจะสร้างเรื่องได้ขนาดนี้ มันซับซ้อนกว่าที่เราคิดแต่ไม่สามารถพูดได้จริงๆ ค่ะ เอาเป็นว่าคนดีก็คือคนดี คนที่พูดความจริงก็คือความจริง คนที่ทำอะไรไม่ดีไว้ วันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เองค่ะ

http://hilight.kapook.com/view/35484